กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--อินโดรามา เวนเจอร์ส
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตในห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์แบบครบวงจรชั้นนำระดับโลกเปิดเผยกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ใน 9 เดือนแรกของปี 2554 เติบโตขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 515 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ที่มีมูลค่า 292 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ EBITDA ในช่วงไตรมาส 3/2554 เพิ่มขึ้นเป็น 153 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 114 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงไตรมาส 3/2553 และ 147 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/2554 กำไรสุทธิของบริษัทสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2554 อยู่ที่ 562 ล้านเหรียญสหรัฐเทียบกับ 200 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่ได้รวมรายการพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 อยู่ที่ 325 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินงานในช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 2 เท่าจากเดิม 160 ล้านเหรียญสหรัฐ ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 เติบโตอยู่ที่ 4,708 ล้านเหรียญสหรัฐเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดขาย 2,222 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้มีการเติบโตร้อยละ 112 ในขณะที่ยอดขายในไตรมาส 3/2554 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2554 ที่มียอดขายอยู่ที่ 1,689 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาในอุตสาหกรรม แต่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากการเพิ่มปริมาณการผลิตจาก 1.1 ล้านเมตริกตันในไตรมาส 2/2554 เป็น 1.2 ล้านเมตริกตันในไตรมาส 3/2554 เนื่องจากความต้องการที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) กล่าว “จากที่เราเดินหน้าตามแผนการเติบโตทางธุรกิจ เราสามารถขยายการประหยัดต่อขนาด เพิ่มความยั่งยืนและมุ่งเน้นธุรกิจเส้นใยเส้นด้ายและโพลีเมอร์ที่มีความเฉพาะเพื่อเพิ่มผลกำไร นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการขยายตลาด เช่น ในอินโดนีเซีย และเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในขณะเดียวกันเสริมตำแหน่งทางตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว”
“ธุรกิจของเราในวันนี้มีความแข็งแกร่งทางการเงินมากกว่าที่เคยเป็นมา” นายโลเฮียกล่าว “ด้วยสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.63 เท่าและมีสภาพคล่องกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจของเราได้ดีที่สุด แต่ยังช่วยให้เราสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการเข้าซื้อกิจการที่เพิ่มผลผลิตและโอกาสในการเติบโตอีกด้วย”
ในช่วงไตรมาส 3/2554 IVL ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรในระดับ A+ โดยทริสเรตติ้งและออกหุ้นกู้ 6,000 ล้านบาทโดยมีอายุ 5, 7 และ 10 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จและเสร็จสิ้นเมื่อเดือนตุลาคม บริษัทจึงได้นำหุ้นกู้ที่สำรองไว้ (Green-shoe option) ออกเสนอขาย รวมมูลค่าที่เสนอขายทั้งสิ้น 7,500 ล้านบาท โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ ขยายเวลาการชำระคืนหนี้ รักษาระดับอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว ชำระหนี้เดิมที่มีต้นทุนสูง และทำให้เกิดสภาพคล่องในรายจ่ายลงทุนตามที่ได้วางแผนไว้”
สำหรับวิกฤตการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยส่งผลกระทบในวงจำกัดต่อบริษัท แม้ว่าเราต้องปิดการดำเนินงานโรงงานเส้นใยขนสัตว์ PET และโรงงานผลิตขวดในจังหวัดลพบุรี เนื่องจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากโรงงานผลิต PET ในจังหวัดระยอง เพื่อรองรับลูกค้า ในช่วงต้นปีโรงงาน AlphaPet ใน Alabama สหรัฐอเมริกาถูกปิดชั่วคราวนาน 3 เดือน เนื่องจากพายุทอร์นาโด แต่บริษัทสามารถรองรับลูกค้าหลักจากโรงงานอื่นในรัฐ North Carolina และ South Carolina และเป็นการพิสูจน์ว่า การดำเนินงานทั่วโลกจะช่วยป้องกันภัยและสามารถปกป้องลูกค้าในภูมิภาคได้ ในทั้งสองกรณีที่กล่าวมา บริษัทมีการทำประกัน ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ เพื่อให้แน่ใจว่าผลกำไรยังคงอยู่ในระดับที่สม่ำเสมอ