กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--IR PLUS
“เชาว์ สตีล อินดัสทรี้” ย้ำความมั่นใจนักลงทุน โชว์ผลงานไตรมาส 3/2554 กำไรพุ่งกว่า 500% จาก 6.35ลบ. ในปีก่อนมาเป็น 38.46 ลบ. หนุนงวด 9 เดือนพลิกจากขาดทุน 17.13 ลบ. เพราะผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มาเป็นกำไร 168.70 ลบ. ขยายตัวกว่า 1000% “อนาวิล จิรธรรมศิริ” มั่นใจโค้งสุดท้ายยังขยายตัวได้ดี เพราะยังส่งมอบออเดอร์ต่อเนื่อง ส่วนปีหน้ายังโตได้ต่อ จากการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และความต้องการใช้เหล็กซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างหลังอุทกภัยครั้งใหญ่
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว(Billet)รายใหญ่ของประเทศที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3/2554 (กรกฎาคม-กันยายน)ว่าบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 38.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.11 ล้านบาท หรือร้อยละ 505.67 จากปีก่อนที่ทำได้ 6.35 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นที่หุ้นละ 0.06 บาท เพิ่มจากปีก่อนที่ทำได้ 0.01 บาท/หุ้น ส่งผลให้ผลประกอบการงวดสะสม 9 เดือน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 168.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.83 ล้านบาท หรือร้อยละ 1084.99 จากปีก่อนที่ขาดทุน 17.13 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น ที่หุ้นละ 0.28 บาท เพิ่มจากปีก่อนที่ขาดทุน 0.03 บาท/หุ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
เขากล่าวอีกว่า ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นทั้งงวดไตรมาสที่ 3/2554 และงวดสะสม 9 เดือน เป็นผลมาจากบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ และโครงการก่อสร้างต่างๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนั้น บริษัทฯมีการขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยของเหล็กแท่งยาวได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว จึงช่วยทำให้รายได้จากการขายเหล็กแท่งยาวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 57 โดยในไตรมาสที่ 3/2554 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,464.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 422.44 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 40.55 จากปีก่อนที่ทำได้ 1,041.85 ล้านบาท บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายรวม 1,395.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 387.06 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 38.39 จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1,008.20 ล้านบาท
ในขณะที่งวดสะสม 9 เดือน บริษัทฯ มีรายได้รวม 4,254.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,539.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 56.72 จากปีก่อนที่ทำได้ 2,714.44 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายรวม 3,991.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,337.99 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 50.42 จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 2,653.53 ล้านบาท จะเห็นว่าบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้สูงขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่า จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ผลประกอบการของทั้งงวดไตรมาสที่ 3 และงวดสะสม 9 เดือนในปี 2554 เติบโตได้อย่างโดดเด่นดังกล่าว
นายอนาวิล กล่าวต่อถึงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปีว่า ยังมั่นใจว่าจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าในปีนี้ประเทศไทยจะมีอุทกภัยครั้งใหญ่ แต่เนื่องจากการส่งมอบสินค้ายังทำได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังมีคำสั่งซื้อใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมด้วย โดยขณะนี้มีคำสั่งซื้อรอการส่งมอบยาวถึงเดือนธันวาคมแล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจว่าในปี 2554 บริษัทฯ จะผลักดันรายได้ให้มากกว่า 5,000 ล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ เนื่องจากเพียง 9 เดือนแรกของปีบริษัทฯ ทำได้แล้วถึง 4,254.18 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 85.08 ของเป้าหมายดังกล่าวแล้ว
ส่วนในปี 2555 เชื่อว่าอุตสาหกรรมเหล็กยังเติบโตได้ดี มีทิศทางขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากปี 2554 จากการที่ประเทศไทยยังเป็นผู้นำเข้าสุทธิ Billet ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเข้าไปทดแทนส่วนแบ่งทางด้านการตลาดของเหล็กนำเข้า จากความได้เปรียบด้านต้นทุนการขนส่ง การส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตรงเวลา ลูกค้าสามารถบริหารจัดการ inventory ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องสั่งสินค้าล็อตใหญ่เหมือนการนำเข้า อีกทั้งมีการทำการตลาดกับลูกค้ารายใหม่เพิ่มเติม นอกเหนือจากยอดการสั่งซื้อของลูกค้าเก่าที่คาดว่าจะสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยบวกอื่นๆ เข้ามาช่วยสนับสนุนด้วย อาทิ การขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็คต่างๆ ของภาครัฐ ขณะเดียวกันภายหลังสถานการณ์อุทกภัย ยังก่อให้เกิดความต้องการใช้เหล็กเพื่อฟื้นฟู ซ่อมแซมโครงสร้างต่างๆ เช่น ที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ สะพาน เขื่อน และทางยกระดับ เพิ่มขึ้นซึ่งเอื้อต่อการเติบโตของยอดขายเหล็กแท่งยาว (Steel Billet) ของบริษัทฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง