กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--พม.
มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลใน ๖ มิติ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ดังนี้
มิติที่ ๑ การฟื้นฟูเชิงกายภาพ (บ้าน ทรัพย์สิน เครื่องมือประกอบการ ระบบโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน ถนน น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ โรงเรียน โรงพยาบาล)
๑) การฟื้นฟูชุมชน : ต้องคำนึงถึงโครงสร้างเชิงกายภาพที่ต้องมีทางน้ำผ่านได้เพื่อป้องกันการ
หลากของน้ำในอนาคต (หากชุมชนอยู่ในที่ลุ่มต่ำอาจต้องทำคัน คู คลอง เพื่อป้องกันน้ำท่วมในอนาคตด้วย) ควรมีศูนย์ชุมชนที่เป็นศูนย์กลางที่พักพิง หรือทำครัวกลาง หรือเป็นเก็บแหล่งเสบียงอาหารไว้ในอนาคต
๒) การซ่อมบ้าน : ต้องคำนึงถึงจุดอ่อนต่างๆ ที่เป็นสาเหตุให้น้ำท่วมบ้าน เช่น หากเป็นที่ลุ่มต่ำ
ต้องมีการถมดินเพื่อยกระดับพื้นในสูงขึ้น อาจต้องเปลี่ยนโครงสร้างบ้านให้มีใต้ถุนสูง และต้องวางระบบไฟฟ้าในบ้านใหม่ให้สามารถตัดไฟในชั้นล่างได้เพื่อป้องกันไฟดูด
๓) ควรมีการใช้ระบบพลังงานทางเลือกสำรอง : เช่นระบบพลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานชีวภาพ
๔) ควรมีการจัดตั้งผู้เชี่ยวชาญประจำชุมชน : เช่น ช่างไฟ วิศวกร แพทย์
พยาบาล ฯลฯ ที่เป็นคนในชุมชนเพื่อเป็นอาสาสมัครดูแลกันเอง
๕) รัฐบาลหรือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ควร
ประสานงานกับกรมอาชีวะศึกษา เพื่อระดมนักศึกษาช่างเทคนิคต่างๆ ออกซ่อมแซมบ้านเรือนให้ประชาชน
๖) มีการตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์แบบครบวงจรในชุมชนเพื่อคลี่คลาย
เยียวยาปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากอุทกภัยครั้งนี้
๗) กองทุนต่างๆ ที่รัฐตั้งขึ้น (กองทุน SML กองทุนหมู่บ้าน) : ต้องเน้นการ
บริหารจัดการโดยชุมชนและบูรณาการหลักการการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหลัก ต้องไม่ให้เป็นการบริหารจัดการโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (เช่น นักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพล หรือ คนบางกลุ่มเท่านั้น)
มิติที่ ๒ การฟื้นฟูเชิงเศรษฐกิจ ภาระหนี้สิน และการจ้างงาน รวมทั้ง มาตรการช่วยเหลือภาระ
หนี้สินและการขาดรายได้-ตกงาน (การจัดตั้งศูนย์ลงทะเบียนผู้ประสบภัย One-stop Service Flood Victims Center)
๑) การฟื้นฟูอาชีพและสร้างรายได้ : รัฐต้องเร่งฟื้นฟูอาชีพให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่สูญเสียรายได้
ตกงาน ให้กลับมามีอาชีพ มีรายได้เพื่อเลี้ยงตนเองได้โดยเร็ว
๒) ตั้งกองทุนฟื้นฟูอาชีพ และสินเชื่อเพื่อการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ : ให้กับ
ประชาชน ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้า และแม่ค้าต่างๆ
๓) ผู้ประสบภัยที่มีหนี้สินและสูญเสียรายได้จากการได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม : คนเหล่านี้
ต้องได้รับการพักการชำระหนี้ทันทีไม่ต่ำกว่า ๖ เดือนขึ้นไป และควรได้รับการให้ความช่วยเหลือ ทางการเงินเพื่อซ่อมแซมบ้านหรือใช้จ่ายในช่วงที่ไม่สามารถทำงานอาชีพตามปกติได้
๔) รัฐควรนำโครงการ “ต้นกล้าอาชีพ” กลับมาดำเนินการใหม่ แต่ควรปรับปรุงวิธีการทำงาน
และกระบวนการที่เน้นการฝึกอาชีพที่นำไปสร้างรายได้ได้จริง โดยเน้นการเลือกอาชีพที่เป็นที่ต้องการ ตามสถานการณ์หลังน้ำลด และตามสภาวะเศรษฐกิจ
๕) รัฐต้องให้ความสำคัญกับการสร้างอาชีพ การจ้างงานกลุ่มเฉพาะที่อาจถูกหลงลืม : กลุ่มคน
-๒-
พิการทุกประเภท รวมถึงลุ่มผู้ด้อยโอกาสต่างๆ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้หญิงและเด็กหญิง (เยาวชน) แม่เลี้ยงเดี่ยว กลุ่มผู้สูงอายุ ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและถูกหลงลืม
มิติที่ ๓ ปัญหาสุขภาวะ — ชีวอนามัย การป้องกันและควบคุมโรคระบาด อันเนื่องมาจากภาวะ
น้ำท่วม (โรคอหิวาต์ โรคทางเดินหายใจ ฯลฯ) และการเจ็บไข้ได้ป่วยอันเนื่องมาจากน้ำท่วม
๑) รัฐจะต้องรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องการป้องกันเชื้อโรค สิ่งปฏิกูลหลังน้ำลด :
ที่มากับน้ำและการจัดการเชื้อโรคต่างๆ ที่ค้างอยู่ตามบ้านและดินโคลนหลังน้ำลด
๒) รัฐต้องให้บริการสาธารณสุขขั้นมูลฐานกับประชาชนและชุมชนหลังน้ำลด : โดยประชาชนต้อง
ได้รับข้อมูลและตระหนักถึงการตรวจรักษาและเฝ้าระวังโรคภัยไข้เจ็บที่อาจเกิดจากการอยู่กับภาวะน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
๓) ต้องเสริมสร้างและอนามัยเจริญพันธุ์แก่ผู้หญิง เด็กหญิง ในชุมชนอย่างทั่วถึง
มิติที่ ๔ ปัญหาสภาวะจิตใจและความมั่นคง (ปลอดความหวาดวิตกและความกลัว) ของประชาชนและชุมชน
๑) รัฐต้องสร้างกลไกเฝ้าระวังเรื่องความเครียดของผู้ประสบภัย : ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการ
ฆ่าตัวตายสูงขึ้นหลังจากเผชิญภาวะน้ำท่วมบ้าน การสูญเสียบุคคลในครอบครัว
๒) รัฐต้องช่วยให้ชุมชนและประชาชนลดความเครียดและสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจของ
ผู้ประสบภัย : ซึ่งจะทำให้เกิดการฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังน้ำลดได้
มิติที่ ๕ การวางแผนป้องกันรับมือพิบัติภัยธรรมชาติในระยะยาว
๑) ควรมีการจัดตั้งกลไกระดับชาติเพื่อจัดการปัญหาภัยพิบัติอย่างบูรณาการ
๒) ควรมีการจัดตั้งระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ
๓) ควรมีการจัดตั้งศูนย์รับมือภัยพิบัติในระดับชุมชนเพื่อเป็นกลไกย่อยๆ ที่ปฏิบัติการในพื้นที่
๔) รัฐควรนำแผนป้องกันภัยพิบัติมารณรงค์ให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อเตรียมการ
ตั้งรับก่อนที่ภัยจะมา เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้และตั้งรับได้ทันการณ์
มิติที่ ๖ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อป้องกันและรับมือภัยพิบัติในอนาคต
๑) ควรมีการอบรมอาสาสมัครชุมชน และควรคำนึงถึงการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
ในชุมชนเป็นอันดับต้นๆ อาทิ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย คนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
๒) ควรแปรชุมชนจากการเป็นผู้รอรับการ “ช่วยเหลือ” เป็นผู้ “ชุมชนจัดการ
ตนเอง” และ “ชุมชนอาสาป้องกันภัย”
๓) ชุมชนกควรตระหนักถึง “สิทธิชุมชน”ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมชุมชนได้เอง : ที่อาจสร้างระบบป้องกัน จัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชนได้เองและสามารถต่อรองกับภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนได้ด้วย เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของความักง่ายของการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อุทกภัยน้ำ ไฟป่า ฝนแล้ง และลมหนาว)
๔) รัฐต้องสร้างกลไกการให้ “อำนาจการตัดสินใจของชุมขน” ในเรื่องการจัดการ
ตนเองเพื่อต้านภัยพิบัติได้