นักวิเคราะห์แนะบริษัทในไทยปรับกระบวนทัศน์กลยุทธ์ด้านซัพพลายเชนในภาวะวิกฤต

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 17, 2011 12:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน มร. โกปอล อาร์ ผู้จัดการกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลกกล่าวว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่า 7 หมื่นล้านบาทกำลังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากการที่ภาคส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตกำลังเผชิญวิกฤตน้ำท่วมอย่างรุนแรง และผลจากการที่โรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์ สินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง และ สินค้าอุปโภคบริโภคต้องปิดตัวลง ส่งผลให้เกิดผลกระทบตลอดห่วงโซ่อุปทานกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในวงกว้าง อันก่อให้เกิดผลลบต่อเนื่องต่อการค้าและอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อเป็นการบริหารการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต มร.โกปอล อาร์ ได้ให้คำแนะนำว่า บริษัทต่างๆควรเน้นการกระจายสินค้ามากกว่าการกักตุน เนื่องจากในระยะยาวเราจะพบได้ว่าธุรกิจจะมีข้อได้เปรียบเชิงต้นทุนจากการจัดหาที่กระจายแหล่ง มากกว่า กักตุนหรือกักเก็บมากเกินไป “นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในทางอื่นๆด้วย อาทิ ใช้สิทธิประโยชน์จากความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น AFTA, AEC เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานสำรองเสมือนจริง ที่พร้อมจะรองรับเมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นต้น” “ในภาวะวิกฤตน้ำท่วมในไทยหรือวิกฤตในญี่ปุ่นก็ตาม กลยุทธ์ด้านซัพพลายเชนข้างต้นสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถฟื้นคืนจากสภาวะวิกฤตเกิดขึ้นได้เร็วและยังช่วยในการบริหารจัดการเหตุการณ์ที่มิอาจคาดคิดให้มีผลกระทบน้อยที่สุดกลยุทธ์เหล่านี้ยังช่วยประคองเศรษฐกิจในภูมิภาคในช่วงวิกฤตและคงไว้ซึ่งเสถียรภาพของภูมิภาคได้เป็นอย่างดี ระบบซัพพลายเชนนั้นไร้พรมแดน ดังนั้นอย่าปิดกั้นมันไว้” มร. โกปอล กล่าวทิ้งท้าย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ