กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--บล. ภัทร
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) จัดทำรายงานวิจัยประจำเดือนพฤศจิกายน 2554 เพื่อเป็นส่วนประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.50% ภายในต้นปีหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเป็นรอบที่ 3 (QE3) ในช่วงกลางปีหน้า จึงแนะให้นักลงทุนปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศเป็น “น้ำหนักตามเกณฑ์” ในพอร์ตการลงทุนระยะสั้น
“ฝ่ายวิจัยลูกค้าบุคคลบริษัทหลักทรัพย์ภัทรจำกัด(มหาชน คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง0.50% ภายในต้นปีหน้าเพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมนอกจากนั้นBank of America Merrill Lynch คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยุโรปกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอยซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยสำหรับดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯคาดว่าจะอยู่ที่อัตรา0-0.25% ไปจนถึงไตรมาส3/2014 และมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเป็นรอบที่3 (QE3) ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่อตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่รวมทั้งตลาดตราสารหนี้ไทยด้วยปัจจัยหนุนทั้งในและนอกประเทศเราจึงเปลี่ยนคำแนะนำตราสารหนี้ในประเทศจาก“น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์” เป็น“น้ำหนักตามเกณฑ์” ในพอร์ตการลงทุนระยะสั้นหรือปรับน้ำหนักขึ้นจาก21.5% เป็น30.0% โดยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากจากการลดการถือครองเงินสดนอกจากนั้นเราแนะนำให้ปรับเพิ่มduration ของพอร์ตตราสารหนี้ในประเทศให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง”
“สำหรับคำแนะนำในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เราคิดว่าควรปรับลดน้ำหนักการลงทุนในTFUND จาก4% เป็น2% เนื่องจากราคาTFUND ได้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแต่แนวโน้มผลประกอบการในระยะยาวก็มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นราคาTFUND ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ12% จากจุดต่ำสุดช่วงกลางเดือนตุลาคมปัจจุบันราคาหน่วยลงทุนTFUND อยู่ที่11.2 บาทซึ่งสูงกว่ามูลค่าที่เราประเมินไว้ที่10.4 บาทค่อนข้างมากแนวโน้มผลประกอบการในระยะยาวของTFUND มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีความเสี่ยงที่ผู้เช่าจะไม่สามารถต่อประกันภัยน้ำท่วมด้วยเงื่อนไขหรือเบี้ยประกันที่เหมาะสมและอาจตัดสินใจย้ายโรงงานการที่จะลดความเสี่ยงดังกล่าวทางนิคมอุตสาหกรรมเองจะต้องสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมที่น่าเชื่อถือและทางรัฐบาลเองกค็วรจะมีการกำหนดแผนระยะยาวในการบริหารจัดการน้ำที่น่าเชื่อถือเช่นกันเงินสดที่ได้จากการขายTFUND เราแนะนำให้พักไว้เป็นเงินสดก่อนเนื่องจากว่าCPNRF ซึ่งปัจจุบันเป็นกองที่เราคิดว่าน่าลงทุนที่สุดยังได้รับผลกระทบในระยะสั้นจากน้ำท่วมดังนั้นน้ำหนักการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในพอร์ตระยะสั้นของเราจะลดลงจาก 6%เป็น 4%”
“สำหรับหุ้นไทยเราให้น้ำหนักที่ต่ำกว่าเกณฑ์เนื่องจากการเติบโตของกำไรต่อหุ้น(EPS)ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือ6% ในปีหน้าเมื่อเปรียบเทียบกับปี2011 ที่คาดว่าจะเติบโต21.7% ทำให้แนวโน้มการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยในระยะกลางค่อนข้างจะจำกัดนอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีความเสี่ยงที่จะออกมาต่ำกว่าคาดถ้าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกรุนแรงกว่าที่คาดและในกรณีที่ภาพรวมตลาดได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัจจัยภายนอกประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาภาวะหนี้สินภาครัฐในภูมิภาคยุโรปก็จะทำให้นักลงทุนมองหาบริษัทที่ยังสามารถเติบโตผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่องดังนั้นเราจึงมุ่งเน้นกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปีหน้าไปยังหุ้นบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าในช่วงเศรษฐกิจขาลงอันได้แก่หุ้นกลุ่มสื่อสารอาหารและค้าปลีก
หมายเหตุ รายงานวิจัยของบล ภัทรฯฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจของภัทรฯนักลงทุนควรใช้ข้อมูลในรายงานวิจัยนี้เพียงเพื่อเป็นส่วนประกอบการตัดสินใจลงทุนเท่านั้นการลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
กัญญาภัค โกธรรม บริษัทหลักทรัพย์ภัทรจำกัด(มหาชน)โทร 02 305 9408