กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--แบงค์คอก ไรเตอร์
นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า การให้บริการเว็บไซต์ทั้งภายในและภายนอกประเทศได้มีการพัฒนารูปแบบไปอย่างรวดเร็วมาก โดยปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นเครือข่ายสื่อสังคมที่เผยแพร่เนื้อหาในรูปแบบ ข้อมูล ข่าวสาร และคลิปวิดีโอมากขึ้น ซึ่งทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสามารถแพร่ขยายไปทั่วโลก จึงทำให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีนำเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาเผยแพร่ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ
ดังนั้น กระทรวงไอซีที จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานต่างๆ ประสานความร่วมมือในการระงับการเผยแพร่ไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ให้บริการได้ลบหน้า Facebook ที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นออก และทำให้ การดำเนินการระงับการเผยแพร่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากใน 1 บัญชี (Account) ของ Facebook จะประกอบไปด้วยรูปต่างๆ ซึ่งอาจทำให้มีหน้าต่างๆ ได้มากถึงหลักร้อย URL และเมื่อรวมกับหน้าต่างๆ ที่ถูก Share หรือ Comment ก็จะทำให้จำนวน URL เพิ่มขึ้นไปอีก การระงับการเผยแพร่ใน 1 Account จึงทำให้มี URL ที่ไม่เหมาะสมหายไปประมาณ 100 -1,000 รายการ โดยในช่วงเดือนต.ค. — พ.ย.ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการระงับการเผยแพร่ไปแล้วกว่า 60,000 URL
ส่วนการกด Share หรือ Like หรือ Comment นั้น เป็นการกระทำที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยที่ผู้กระทำอาจไม่รู้ตัว เนื่องจากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลต่อในทางอ้อม กระทรวงไอซีที จึงขอให้ประชาชนที่หวังดีและต้องการปกป้องสถาบันปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงฯ โดยหากพบเจอเว็บไซต์ไม่เหมาะสมขอให้แจ้งข้อมูลมาที่หมายเลข 1212 รวมทั้งหยุดการเข้าไปดูหน้าเว็บดังกล่าว และไม่บอกต่อ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบผู้กระทำความผิดได้อย่างรวดเร็วสำหรับวิธีปฏิบัติเมื่อพบเจอเว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสมนั้น สิ่งที่ควรกระทำ คือ ห้ามกด Share โดยเด็ดขาด เช่นใน Facebook การกด Share จะทำให้เนื้อหาในเว็บไซต์นั้นไปปรากฏบนหน้าหลักของเพื่อนๆ ที่อยู่ในรายการชื่อของเรา ทำให้เป็นการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่ไม่เหมาะสมนั้นโดยไม่รู้ตัว การ share เพื่อให้เพื่อนๆ ได้เห็นถึงความไม่เหมาะสม และร่วมติเตียนผู้กระทำความผิดนั้น อาจจะทำให้การตรวจสอบเพื่อระงับการเผยแพร่นั้นทำได้ลำบาก เพราะฝ่ายตรวจสอบของผู้ให้บริการในต่างประเทศอาจเข้าใจไปว่า เนื้อหาที่เผยแพร่นั้นมีความน่าสนใจจึงมีการกด Share กันเป็นจำนวนมาก ทำให้การระงับการเผยแพร่ทำได้ยากขึ้น
นอกจากนั้นยัง ห้ามกด Like และห้าม Comment โดยเด็ดขาด เพราะการกระทำดังกล่าวจะทำให้ข้อความที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นไปปรากฏบนหน้า Wall หรือหน้าหลักของผู้กด Like และ Comment รวมทั้งจะเชื่อมต่อไปถึงหน้า Facebook ของกลุ่มเพื่อนอีกด้วย การที่ผู้ชม Facebook กด Like เพื่อติดตามความเคลื่อนไหว หรือโต้ตอบ จะยิ่งสร้างความสนใจให้กลุ่มเพื่อนที่เห็น และอาจร่วมในกระบวนการโต้ตอบด้วย จึงเท่ากับเป็นการกระจายข้อมูลข่าวสารและเพิ่มกระแสความนิยมให้กับเว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัว
“ปัจจุบันพบว่า มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่เข้าไปโต้ตอบกับพวกที่เผยแพร่เว็บไม่เหมาะสมในลักษณะหมิ่นสถาบัน โดยการกด Like , Comment หรือ Share นั้น อาจถูกนำชื่อ และรูปถ่ายไปสร้างหน้า Facebook ปลอมและเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ดังนั้น กระทรวงฯ จึงอยากขอให้ประชาชนทุกคนอย่ากด Like , Comment หรือ Share เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อ แต่หากได้มีการกดไปแล้วขอให้ทำการลบ Share กด Unlike และลบ Comment ที่เคยทำเอาไว้ เพื่อลดการเผยแพร่ และเจ้าหน้าที่จะสามารถดำเนินการตรวจสอบผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น