กรุงเทพฯ--28 พ.ย.--สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ปัญหาน้ำท่วมประเทศไทย (ยกเว้นกรุงเทพฯ ชั้นใน) นอกจากได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแล้ว ยังสร้างความขัดข้องใจและความขัดแย้งในหมู่คนไทยด้วยกันหลายประการ ดูได้จากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายบิ๊กแบ๊คที่ดอนเมือง ความขัดแย้งที่ถนนพระราม 2 ความขัดแย้งระหว่างอำเภอลำลูกกากับเขตสายไหมและคลองสามวา ความขัดแย้งที่คลองประปาระหว่างชาวดอนเมืองและชาวปากเกร็ด ตลอดจนความขัดแย้งจากการเจรจาต่อรองปริมาณการปล่อยน้ำระหว่างชุมชนที่อยู่ในและนอกเขตประตูกั้นน้ำต่างๆ ในเขตจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพฯ เป็นต้น
ผมเองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเสียด้วยครับ ดังนั้นผมจึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่านผู้รู้กฎหมายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นท่านทนายความ ท่านผู้พิพากษา หรือคณะศาลปกครองที่ล้วนเป็นที่พึ่งสำคัญของประชาชนว่า การดำเนินการที่ถูกที่ควรด้านการป้องกันน้ำท่วม “ตามหลักนิติธรรม” นั้นต้องทำอย่างไร โดยผมขอถามคำถามซัก 5 ข้อดังต่อไปนี้
ข้อที่หนึ่ง หากเขตปกครอง ก. นำกระสอบทรายมาทำทำนบกั้นน้ำไม่ให้น้ำเข้าเขตปกครองของตน แต่การกระทำดังกล่าวทำให้เขตปกครอง ข. ที่มีพื้นที่ติดกันต้องรับภาระแทนโดยต้องเผชิญกับน้ำท่วมในระดับที่สูงกว่าปกติ การกระทำของเขตปกครอง ก. เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนในเขตปกครอง ข. หรือไม่ครับ หากเป็นอย่างนี้ประชาชนในเขตปกครอง ข. จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้บริหารเขตปกครอง ก. ได้มั๊ยครับ
ข้อที่สอง หากประชาชนในเขตปกครอง ข. ที่ได้รับความเสียหายดังกล่าวได้รวมตัวกันไปรื้อกระสอบทรายหรือเปิดประตูกั้นน้ำเพื่อให้น้ำที่ท่วมขังในเขตของตนไหลกลับไปท่วมเขตปกครอง ก. ซึ่งมีระดับน้ำต่ำกว่า เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระปัญหาไปบ้างในลักษณะของการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข การต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองเช่นนี้มีความผิดทางกฎหมายมั๊ยครับ
ข้อที่สาม หากมีการกั้นทำนบหรือเขื่อนรอบๆ ชุมชนใดชุมชนหนึ่ง และเมื่อภายหลังระดับน้ำได้ลดลงจนต่ำกว่าระดับสันเขื่อนแล้วชุมชนดังกล่าวได้สูบน้ำในพื้นที่ของตนออกไปด้านนอกเพื่อให้น้ำไปท่วมพื้นที่ข้างเคียงแทน โดยน้ำนั้นอาจมีความสกปรกจากคราบน้ำมันหรือมีสารเคมีจากโรงงานทำให้พื้นที่ข้างเคียงเสียหาย การกระทำเช่นนี้มีความผิดมั๊ยครับ
ข้อที่สี่ การที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งได้ถูกกำหนดไว้เป็นพื้นที่แก้มลิงหรือทางน้ำผ่านเพื่อระบายน้ำออกไปทางทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ และสูบออกไปยังอ่าวไทยในที่สุด แต่ต่อมาพื้นที่ดังกล่าวได้มีการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์เป็นนิคมอุตสาหกรรม สนามบินนานาชาติ หมู่บ้านจัดสรร หรือสนามกอล์ฟ การใช้ที่ดินผิดประเภทเช่นนี้ได้กลายเป็นอุปสรรต่อการไหลของน้ำและนำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมขังที่บริเวณ รังสิต ปทุมธานี อย่างนี้เอาผิดกับหน่วยงานใดได้มั๊ยครับ
และข้อที่ห้า หากชาวกรุงเทพฯ ได้ประโยชน์จากการปิดประตูกั้นน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้ากรุงเทพฯ โดยให้ประชาชนในพื้นที่นนทบุรีหรือปทุมธานีรับภาระน้ำท่วมแทน ต่อมาหากต้องมีการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ที่ถูกน้ำท่วมที่ดอนเมือง นนทบุรี หรือปทุมธานี เงินค่าชดเชยจำนวนเงินนี้ก็ควรมาจากงบประมาณของกรุงเทพมหานครใช่มั๊ยครับ เพราะชาวกรุงเทพฯ ชั้นในเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการปิดประตูกั้นน้ำ แต่ที่พบขณะนี้คือเงินค่าชดเชยทั้งหมดกลับถูกผลักให้เป็นภาระของงบประมาณแผนดิน ซึ่งเท่ากับหมายความว่านอกจากพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในจะได้ประโยชน์จากการป้องกันน้ำท่วมแล้ว คนไทยทั้งประเทศยังต้องมารับภาระจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ที่ถูกน้ำท่วมที่ดอนเมือง นนทบุรี หรือปทุมธานีแทนกรุงเทพมหานครอีกด้วย ระบบการคลังสาธารณะแบบนี้ให้ความเป็นธรรมกับสังคมมั๊ยครับ
ท่านผู้พิพากษา ท่านผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย หรือท่านคณาจารย์ด้านกฎหมายทั้งหลายครับ ประชาชนคนไทยตอนนี้สับสนมากในประเด็นคำถามเหล่านี้เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิจากการบริหารจัดการน้ำท่วมโดยรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางซึ่งสังคมไทยไม่คุ้นเคยมาก่อน และในหลายกรณีก็ได้นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งแล้ว ท่านในฐานะที่เป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ท่านจะพอให้คำแนะนำ ชี้แนะแนวคิดหรือให้แนวปฏิบัติที่ถูกต้องให้พวกเราทราบได้มั๊ยครับว่าสังคมไทยควรทำอย่างไรในเรื่องดังกล่าว ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับน้ำมากกว่า 20 ฉบับ กฎระเบียบต่างๆ เหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมและความขัดแย้งได้บ้างมั๊ยครับ หรือเราต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมอีกครับ แล้วประเทศไทยต้องมีกฎหมายน้ำอีกกี่ฉบับจึงจะพอครับ
ผมเองมีความรู้สึกว่าการเรียกร้องความเป็นธรรมจากภาครัฐคงเป็นสิ่งที่ทำยากมากๆ ในสังคมไทย เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรม ปัญหาความไม่เป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีรากเหง้าฝังลึกในวิถีชีวิตของคนไทย และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยมาช้านาน การปรับเปลี่ยนให้สังคมไทยมีความเท่าเทียมกัน ให้มีการนึกถึงหัวอกเขาหัวอกเราโดย “คนไทยทุกคนที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินนี้มีสิทธิเท่าเทียมกันคงเป็นเรื่องที่ทำยากมาก”
เราเห็นภาครัฐให้บริการสาธารณูปโภคกับคนในกรุงเทพฯ ดีกว่าการให้บริการคนในชนบททั้งๆ ที่คนทั้งสองเป็นคนไทยเหมือนกัน เราเห็นโรงเรียนในกรุงเทพฯ มีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนในชนบท เราเห็นคนกรุงเทพฯ สนุกสนานกับการซื้อหาสินค้าธงฟ้าราคาถูก แต่ในต่างจังหวัดกลับแทบจะหาซื้อสินค้าธงฟ้าไม่ได้เลย เราเห็นรัฐบาลเอาใจใส่เรื่องน้ำท่วมอย่างแข็งขันตอนน้ำจะเข้ากรุงเทพฯ แต่พอกรุงเทพฯ พ้นขีดอันตรายรัฐบาลก็ลดละความสนใจทั้งๆ ที่ยังมีประชาชนในอีกหลายๆ จังหวัดที่ยังจมน้ำอยู่
เราเห็นรัฐบาลเดินทางไปถึงต่างประเทศเพื่อเจรจากับบริษัทประกันภัยให้เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมได้รับสินไหมค่าชดเชย แต่เราไม่ค่อยเห็นรัฐบาลเหลียวแลคนจนในพื้นที่ห่างไกลที่ถูกน้ำท่วม ถุงยังชีพก็ไม่ได้รับ ข้าวจะกินก็ไม่มี
เราเห็นกรุงเทพฯ มีผู้ว่าราชการที่มาจากการเลือกตั้งที่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาวกรุงเทพฯ อย่างเต็มที่ แต่จังหวัดอื่นๆ กลับไม่มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการของเขาเองเพื่อทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาบ้าง
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการที่จะมาคาดหวังความเป็นธรรมในสังคมไทยคงจะเป็นเรื่องยากเพราะผู้บริหารบ้านเมืองนี้มีวัฒนธรรมทางความคิดที่ขาดความเป็นธรรมโดยให้ความสำคัญกับคนในกรุงเทพฯ มากกว่าคนจังหวัดอื่นๆ
ดังนั้น กรณีการบริหารจัดการน้ำที่เน้นการปกป้องทรัพย์สินบ้านเรือนของคนในเมืองหลวงโดยให้คนในพื้นที่รอบนอกรับภาระแทนจึงเป็นวิธีคิดที่พอจะคาดเดาได้ เพราะมันก็คือธาตุแท้ของการบริหารงานแบบไทยๆ นั้นเอง การที่รัฐบาลพูดว่า “ประชาชนต้องเข้าใจและต้องยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม” จึงเป็นประโยคที่เสียดแทงใจผู้ด้อยโอกาสเป็นอย่างมากเพราะมันเป็นการตอกย่ำว่าผู้บริหารบ้านเมืองนี้ให้ความสำคัญกับประชาชนไม่เท่าเทียมกัน เห็นค่าของความเป็นคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขณะนี้วัฒนธรรมทางความคิดเช่นนี้ได้นำไปสู่ความปัญหาขัดแย้งในหลายๆ พื้นที่ และจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว “ในที่สุดสิ่งนี้จะทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่ไร้อารยธรรม”