กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--เวเบอร์ แชนวิค
- สัมผัสเชฟโรเลต อีเอ็น-วี และมีเรย์ รถต้นแบบพลังงานไฟฟ้าที่จะพลิกโฉมโลกยานยนต์
- เปิดตัวครั้งแรกกับแคปติวา ขุมพลังดีเซล 2.0 ใหม่ แรงเหนือกว่า พร้อมอุปกรณ์ความสะดวกเต็มคัน
- พิเศษสุดกับรุ่นพิเศษ เชฟโรเลต เซนเทนเนียล เอดิชั่น ฉลอง 100 ปี
เชฟโรเลต โชว์เทคโนโลยียานยนต์เต็มรูปแบบในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ด้วยแนวคิดหลัก "การขับเคลื่อนก้าวล้ำอนาคต" นำรถต้นแบบพลังงานไฟฟ้า เชฟโรเลต อีเอ็น-วี และเชฟโรเลต มีเรย์ เป็นไฮไลท์ภายในบูธ พร้อมเปิดตัวเชฟโรเลต แคปติวา เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ทรงพลังกว่าเดิม เคียงข้างด้วยรถกระบะพันธุ์แกร่งรุ่นใหม่ล่าสุด เชฟโรเลต โคโลราโด ที่มาครบครันทั้งเอ็กซ์เทนเดดแค็บ 2 ประตู และครูว์แค็บ 4 ประตู รวมถึงการแนะนำรถเชฟโรเลตตกแต่งพิเศษฉลองครบรอบ 100 ปีซึ่งผลิตจำนวนจำกัด
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้แนวคิดหลัก "การขับเคลื่อนก้าวล้ำอนาคต" (Further and Beyond the Future) ภายในบูธเชฟโรเลตในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 28 โดยสะท้อนออกมาเป็นรถต้นแบบสองรุ่น เริ่มจาก เชฟโรเลต อีเอ็น-วี (Electric Networked-Vehicle) ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสองที่นั่ง ที่ได้รับการพัฒนาด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อลดข้อจำกัดในการเดินทาง ลดปัญหาด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาความคับคั่งของการจราจร รวมถึงปัญหาในการหาที่จอดรถ ปัญหาคุณภาพอากาศ และปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นในเมืองใหญ่
เชฟโรเลต อีเอ็น-วี ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกที่งานเซี่ยงไฮ้ เวิลด์เอ็กซ์โป เมื่อปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์การเดินทางในปีพ.ศ.2573 (ค.ศ.2030) ของเชฟโรเลต ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อให้ยานยนต์แต่ละคันสามารถสื่อสารระหว่างกัน พร้อมระบบเซ็นเซอร์ และกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่ช่วยบอกระยะห่างระหว่างรถยนต์ เพื่อการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อสิ่งกีดขวาง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพการขับขี่ อีกทั้งยังช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการเชื่อมต่อกันผ่านระบบจีพีเอส เป็นผลทำให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้เองอย่างอัตโนมัติ และปราศจากการควบคุมจากผู้ขับขี่ ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆของ อีเอ็น-วี ได้มีการนำมาใช้ในรถบางรุ่นในเครือเจนเนอรัล มอเตอร์สแล้ว
สำหรับรถต้นแบบอีกหนึ่งรุ่น คือเชฟโรเลต มีเรย์ รถสปอร์ตโรดสเตอร์ เปิดประทุนสองที่นั่ง การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร จึงมีความโฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ ตัวถังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และคาร์บอนไฟเบอร์เสริมโพลิเมอร์ ที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน และน้ำหนักเบา ปีกสปอยเลอร์หลังปรับระดับได้ เพิ่มแรงกดท้ายและช่วยควบคุมการไหลเวียนของอากาศ ซึ่งถูกออกแบบให้มีฝาถังน้ำมัน และช่องชาร์จไฟติดตั้งอยู่ด้านล่างอย่างแนบเนียน โดยช่องชาร์จไฟมีมาตรวัดแสดงความจุแบตเตอรี่อยู่ด้วย
มีเรย์ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าต้นแบบ ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัว และใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 1.6 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งชาร์จไฟขณะเหยียบเบรก ให้อัตราเร่งที่คล่องแคล่ว และปราศจากมลพิษอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน มีเรย์ ยังสามารถเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังได้อีกด้วย
นอกจากรถต้นแบบล้ำอนาคตแล้ว เชฟโรเลต ยังเปิดตัวแคปติวา เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบบล็อกใหม่ ทรงพลังขึ้นกว่าเดิมด้วยเครื่องยนต์ VCDi ดีเซลเทอร์โบแปรผัน บล็อก 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC หัวฉีดแรงดันสูง คอมมอนเรลไดเรคอินเจคชั่น ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตรที่ 1,750 — 2,750 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบปรับเปลี่ยนเกียร์ DSC (Driver Shift Control)
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกของแคปติวา ดีเซล ใหม่ยังอัดแน่นเต็มคัน เบาะที่นั่งหุ้มหนังอย่างประณีต เบาะที่นั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง บนคอนโซลติดตั้งหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ดูหนังฟังเพลง ตลอดจนบอกข้อมูลการขับขี่ พวงมาลัย 4 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่นซึ่งผู้ขับขี่สามารถควบคุมระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติ ระบบเครื่องเสียง และระบบปรับอากาศ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของรถระดับนี้ เช่นเดียวกับ เบรกมือไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในรถเอนกประสงค์ระดับเดียวกัน ขณะที่ระบบอินโฟเทนเมนท์ เพียบพร้อมด้วยการแสดงข้อมูลของตัวรถ และความบันเทิงซึ่งได้รับการติดตั้งระบบเครื่องเสียงสามมิติ 3DSS (3 Dimensional Sound Staging) ที่ผ่านการคำนวณอย่างละเอียด เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดของขนาดห้องโดยสารรถ โดยเน้นให้เสียงโอบล้อมผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างมีมิติ คมชัด และสมจริง ผ่านลำโพง 8 ตัว โดยสามารถเชื่อมต่อด้วยระบบบลูทูธ พอร์ทยูเอสบี และ เอยูเอ็กซ์
สำหรับราคาจำหน่ายของเชฟโรเลต แคปติวา ดีเซลใหม่ เริ่มต้นสำหรับรุ่น LSX ที่ 1,395,000 บาท รุ่น LT ราคา 1,620,000 บาท และรุ่นสูงสุด LTZ มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,699,000 บาท
นอกจากนี้ เชฟโรเลต ยังตอกย้ำกระแสความแรงของโคโลราโด กระบะพันธุ์แกร่งรุ่นใหม่ล่าสุด ด้วยการนำรุ่นครูว์แค็บ 4 ประตูมาให้นักเลงรถกระบะได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย เคียงข้างกับรุ่นเอ็กซ์เทนเดดแค็บ 2 ประตู ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ แรง ประหยัดเหนือชั้นขนาด 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนสองล้อ และสี่ล้อ พร้อมลุยทุกเส้นทาง
ไม่เพียงเท่านั้น เชฟโรเลต ยังเชิญลูกค้าร่วมฉลองการดำเนินงานครบรอบ 100 ปีด้วยการเปิดให้จับจองรถรุ่นพิเศษ เซนเทนเนียล เอดิชั่น (Centennial Edition) ในรุ่น เชฟโรเลต ครูซ รถคอมแพกต์ซีดานระดับโลกที่ตอบสนองดังใจคิด และ เชฟโรเลต แคปติวา รถเอนกประสงค์เอสยูวี ที่ให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าทุกการใช้ชีวิต โดยแต่ละรุ่นได้รับการตกแต่งพิเศษและผลิตในจำนวนจำกัด เพื่อความพิเศษในโอกาสครบรอบหนึ่งศตวรรษของเชฟโรเลตอย่างแท้จริง
สำหรับเชฟโรเลต ครูซ รุ่นพิเศษ เซนเทนเนียล เอดิชั่น โดดเด่นแตกต่างด้วยสีขาว เมทัลลิก สะดุดตาด้วยล้ออัลลอย 5 ก้านขนาด 17 นิ้วลวดลายใหม่ โฉบเฉี่ยวดุดันยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารดูอัลค็อกพิท เอกลักษณ์ของเชฟโรเลต ตกแต่งพิเศษสุดด้วยภายในสี Med Titanium เพิ่มความสปอร์ตเต็มพิกัด ใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีราคาจำหน่ายที่ 1,013,000 บาท ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 230 คันเท่านั้นในประเทศไทย
ขณะที่รถเอนกประสงค์เอสยูวีล้ำสมัย เชฟโรเลต แคปติวา เซนเทนเนียล เอดิชั่น สะดุดตาด้วยสีขาว เมทัลลิกพร้อมความสปอร์ตที่เหนือกว่าด้วยล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ชุดแต่งแอโรพาร์ทรอบคัน พร้อมไฟท้ายแบบเลนส์ใส ภายในห้องโดยสารสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบนำทางเนวิเกเตอร์ และช่องเชื่อมต่อยูเอสบี รองรับความบันเทิงในทุกการเดินทาง ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 2.4 ลิตรประหยัดกว่าด้วยการรองรับเชื้อเพลิง E85 ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 คัน มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,355,000 - 1,380,000 บาท
พบกับความก้าวล้ำอนาคต และทดลองขับยานยนต์จากเชฟโรเลตทุกรุ่นได้ที่บูธ A13 ของเชฟโรเลต ที่งานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 28 ที่ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1 — 12 ธันวาคมนี้