กรุงเทพฯ--2 ธ.ค.--เจ เอส แอล
เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 รายการที่นี่หมอชิต ในคืนวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554 และพิธีกร ดู๋ สัญญา คุณากร มีเรื่องราวของความจงรักภักดี และเรื่องราวดีๆของผู้ที่ดำเนินชีวิตตามรอยพระราชดำริของพระองค์ท่านมาให้ได้ชมกัน
ตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ตายายของเราก็จะทราบมาโดยตลอดว่า ประเทศไทย เรามีองค์พระราชาที่ทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเรามาโดยตลอด และเรื่องราวคืนนี้จะเกี่ยวกับบทเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกของพวกเราเหล่าพสกนิกร เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านชื่อเพลง “ตามรอยพระราชา” ซึ่งศิลปินผู้ที่มาถ่ายทอดบทเพลงครั้งนี้คือ พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ แขกรับเชิญของรายการที่นี่หมอชิตที่จะมาพูดคุยเรื่องราวที่มาที่ไปของบทเพลง พร้อมความรู้สึกที่มีโอกาสได้เป็นตัวแทนในการถ่าย ทอดเพลงนี้ และบางส่วนจากการพูดคุยในรายการคืน
“ พี่เบิร์ด : ในทุกๆครั้งที่ได้ถวายความจงรักภักดี ด้วยการใส่เสียงร้องของตัวเองลงไปในเนื้อร้องทำนอง ที่พวกเราช่วยกันประพันธ์เพลง ตามรอยพระราชา กันขึ้นมา พวกเรามีความปลื้มปิติภูมิใจ เป็นเหมือนรางวัลของชีวิต ที่ได้ถวายความจงรักภักดีต่อองค์ราชาของเรา ตลอดชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกมีความภาคภูมิใจ ความรักของพวกเราที่มีต่อพระองค์ท่านนั้นเหมือนกันหมด เป็นความสุขเป็นความจงรักภักดี เป็นความภาคภูมิใจของเบิร์ดและวงค์ตระกูลมากครับ พี่น้องทีมงานทุกคนทั่วทั้งตึกจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ก็ว่าได้ และบทเพลงนี้ ก็เป็นเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ตามรอยพระราชา” ด้วยเช่นกัน พี่ดู๋ : เพลงตามรอยพระราชาและความพิเศษของเพลงนี้? พี่เบิร์ด : สิ่งที่ต้องการจะสื่อบทเพลงนี้ให้กับผู้ฟังคือความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน อยากจะบอกเด็กรุ่นต่อๆ ไปที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นมา และยังไม่เห็นถึงพระราชกรณียกิจที่พระองค์ได้ทำ เมื่อเบิร์ดได้ร้องเพลงนี้ก็จะมีเสียงเด็กถามมาตลอด ว่าทำไมพระราชาต้องถือแผนที่ ทำไมพระราชาถึงต้องเดินลุยน้ำ ทำไมพระราชาไม่ทรงพักผ่อน ทำไมพระราชาต้องทรงทำแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กกำลังเติบโตขึ้นมา เหมือนที่พวกเราผ่านช่วงเวลานั้นมา ท่านเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินของประเทศไทยจริงๆ ท่านดูแลน้ำไหลจะผ่านไปตรงไหน ตรงไหนที่เดือดร้อนมาก ตรงไหนที่เดือดร้อนน้อย บางทีเราเป็นเจ้าของที่ดินไม่เท่าไหร่ เรายังดูแลไม่ทั่ว แต่พระองค์ท่านดูแลทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นเป็นคำตอบที่จะบอกกับเด็กเยาวชนคนไทยหัวใจดวงน้อยๆ ที่กำลังจะเติบโตเป็นอนาคตของพวกเราชาวไทย พวกเราโชคดีที่สุดในโลกแล้ว ที่เกิดเป็นคนไทยและมีพระองค์ท่านเป็นพระประมุขของพวกเรา พี่ดู๋ : พูดถึงการเดินตามรอยพระราชา ตั้งแต่เด็กๆคุณพ่อคุณแม่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของพระองค์ท่านให้พี่เบิร์ดฟังยังไงบ้าง? พี่เบิร์ด ; เบิร์ดได้มองอีกมุมหนึ่งของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านเป็นลูกที่ประเสริฐสำหรับแม่เป็นพ่อที่ประเสริฐสำหรับลูก พระองค์ท่านรักสมเด็จย่ามากแค่ไหนพวกเราก็รู้ เพราะฉะนั้นเป็นเยี่ยงอย่างเหลือเกินที่ทำให้เราได้รู้ว่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็คือพ่อแม่ของเรา อีกเรื่องคือเรื่องความ พอเพียงของพระองค์ท่าน เป็นสิ่งที่เราเห็นมานาน พระองค์ท่านเป็นพระราชาซึ่งอาจจะไม่ต้องทรงงานหนักขนาดนี้ก็ได้ ไม่ต้องลงพื้นที่ ไม่ต้องคิดว่าน้ำจะท่วมตรงไหนบ้าง ซึ่งถ้าเป็นตัวเราชอบสถานที่ไหนสักที่ ก็จะดูแลแค่ตรงนั้น ซึ่งพระองค์ท่านไม่ใช่ ท่านจะต้องดูแลทั้งประเทศ ซึ่งพระองค์รู้ว่าคลองตรงนี้จะตัดไปทางไหนได้บ้าง น้ำจะเดินทางสะดวกทำให้น้ำไม่ท่วม พระองค์รู้โฉนดของประเทศไทยได้ดีกว่าใครทุกคน เพราะนี่คือแผ่นดินของพระองค์ท่าน พี่ดู๋ : แล้วพี่เบิร์ดเอง ได้มีโอกาสลองใช้ชีวิตตามรอยพระราชาอย่างไรบ้าง? พี่เบิร์ด : บ้านที่เชียง รายไม่ใช่บ้านที่ไว้พักผ่อน สวยๆ ธรรมดา แต่เราปลูกข้าวไว้กินเอง ซึ่งปัจจุบันครอบครัวของเรา 8-9 ครอบครัวไม่เคยซื้อข้าวเลย เราจะปลูกข้าวกินเอง และเราจะมีผัก มีผลไม้ คือเราก็จะทำอะไรที่เราสามารถทำได้เอง แม้กระทั่งปุ๋ยเราก็จะทำกันเอง คือสามารถอยู่กับเขา อยู่กับความเป็นจริง อยู่แบบง่าย ๆได้ โดยที่แตกต่างจากในเมืองโดยสิ้นเชิง ก็คืออยู่กันแบบง่าย ๆ ตื่นเช้าตี 4 ตี 5 ก็ลุกสวดมนต์กัน ตกเย็นเขาเกี่ยวข้าวกันเราก็ไปเกี่ยวข้าว คือพี่ๆ เขาก็จะโทรบอกเราว่าจะเกี่ยวข้าวแล้วนะเบิร์ด ซึ่งบางทีเราซ้อมเต้นอยู่ มันคนละโลกเลยจริง ๆ รู้สึกแบบพอเพียงจังเลย แล้วพี่เบิร์ดก็เคยเกี่ยวข้าว เคยปลูกข้าว เคยดำนา เคยหมดเลย จากคนที่ต้องไปซื้อข้าวเขา กลายเป็นคนที่มีข้าว แต่ก็กินมากไม่ได้เพราะว่าอ้วน (หัวเราะ)”