กรุงเทพฯ--9 ธ.ค.--สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น
มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ นับเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดทั้งในแง่ของปริมาณน้ำและจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบ จึงถือเป็นวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีใครคาดคิดและไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงส่งผลกระทบในวงกว้างโดยเฉพาะในภาคการเกษตรของไทยที่ผลกระทบมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นนอกเหนือจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในภาวะปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของทรัพยากรน้ำและดินที่เป็นหัวใจหลักในการทำการเกษตรซึ่งยังไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ จึงอาจก่อให้เกิดวิกฤติด้านการผลิตอาหารขึ้นได้ อาทิ การเกษตรเพื่อการส่งออก ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศราว 10% ของจีดีพี และมีแรงงานที่เกี่ยวข้องสูงถึง 38% ของแรงงานที่มีทั้งหมดในประเทศ
นายโอภาศ ธันวารชร กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “ภัยพิบัติจากมหาอุทกภัยในครั้งนี้ ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรเสียหายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 11 ล้านไร่ มีเกษตรกรได้รับผลกระทบราว 1.4 ล้านราย โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่มมีความเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นนอกจากจะต้องมีระบบการบริหารจัดการน้ำที่ดีแล้ว การจัดระบบการปลูกพืชโดยปรับให้เข้ากับฤดูกาลที่แปรปรวนอย่างปัจจุบันก็สามารถช่วยลดความรุนแรงของปัญหานี้ได้ นอกจากผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่และผลผลิตทางการเกษตรแล้ว สภาวะน้ำท่วมยังส่งผลต่อสภาพแวดล้อมจากการถูกชะล้างพังทลายของหน้าดิน และความเสียหายของระบบนิเวศในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม นอกจากนี้ การทำการเกษตรที่ใช้สารเคมีในปริมาณมากก็เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหามลภาวะในดินและน้ำที่ต้องเร่งแก้ไขต่อไป แนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้คือ การสร้างความสมดุลระหว่างการทำการเกษตรเพื่อผลิตอาหารโดยการใช้ทรัพยากรดินและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มีระบบการบำบัดและนำกับมาใช้ใหม่ ร่วมกับการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้มีทรัพยากรเหล่านี้ไว้ใช้อย่างยั่งยืน”
“ที่คูโบต้า คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ได้มีการพัฒนาระบบการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงมานานกว่า 20 ปี ครอบคลุมทั้งระบบท่อขนส่งน้ำ ปั๊มน้ำขนาดใหญ่ ตลอดจนระบบบำบัดน้ำสำหรับชุมชน และโรงงานอุตสาหกรรม โดยมุ่งมั่นวิจัยพัฒนาด้วยความใส่ใจ เพื่อให้น้ำที่ถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคในชุมชนต่าง ๆ มีความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ยังมีระบบบำบัดน้ำเสียที่ใช้บำบัดน้ำหลังการใช้งาน เพื่อคืนน้ำ สะอาดกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อให้มีปริมาณน้ำสะอาดเพียงพอสำหรับทุกคนบนโลกตลอดไป”
นายโอภาศ กล่าวเพิ่มเติมว่า สยามคูโบต้าจึงใช้โอกาสที่ได้เข้าร่วมงานบีโอไอ แฟร์ 2011 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-20 มกราคม 2555 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในการแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำด้านเครื่องจักรกลการเกษตรในเอเชีย ควบคู่กับการเผยแพร่ความรู้ ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้บุคคลทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตเมืองให้หันมาใส่ใจแนวคิดการเกษตรรักษ์โลก เพื่อสร้างให้โลกของเราน่าอยู่มากขึ้น ภายใต้นโยบาย For Earth, For Life โดยนำเสนอแนวทางการทำการเกษตรแบบอนุรักษ์ทรัพยากรดิน และน้ำ แสดงความสัมพันธ์
ระหว่างทรัพยากรธรรมชาติกับมนุษย์ เพื่อรักษาสมดุลในการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ผ่านแรงบันดาลใจในการนำรูปทรงเมล็ดข้าวและเปลือกข้าวมาใช้ในการออกแบบโครงสร้างหลักของพาวิลเลียน ที่เปรียบประเทศไทยเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำที่เป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก ผสานกับแนวคิดทางสถาปัตยกรรมแบบ Organic Architecture ที่เน้นความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตของมนุษย์และธรรมชาติให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางในการจัดงาน บีโอไอ แฟร์ ในครั้งนี้คือ “Going Green For The Future” หรือ “โลกสดใส ไทยยั่งยืน”
ภายในนิทรรศการ For Earth, For Life ที่สยามคูโบต้านำมาจัดแสดงแบ่งเป็น Soil Zone, Water Zone, Population & Kubota Solution และหมู่บ้านอยู่ดีกินดี โครงการต่าง ๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยให้อยู่ดีกินดี อาทิ โครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองหลังการเก็บเกี่ยวข้าวในภาคอีสาน โครงการส่งเสริมการขยายแปลงนาในภาคอีสานแบบรักษาหน้าดิน โครงการแก้ปัญหานาหล่ม ฯลฯ โดยนำเสนอผ่านสื่อ Multimedia ที่น่าสนใจ พร้อมชมภาพยนตร์สั้น นำเสนอเรื่องราวการทำเกษตรกรรมของไทยในอนาคตที่เข้าใกล้กับชีวิตประจำวันของทุกคน ทำให้เข้าใจเรื่องการเกษตรได้ง่าย และเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น และมุ่งให้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำการเกษตรแบบ “ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต” ซึ่งนำแสดงโดยกาย-นวพล วัฒนพานิช และยิปซี - คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ ขณะเดียวกันยังจัดให้มีการแสดงนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เพื่อรองรับการทำการเกษตรสมัยใหม่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดิน การเพาะปลูก จนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อช่วยให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างรวดเร็ว ได้ผลิตที่มีคุณภาพดีและปริมาณมากขึ้น เพื่อผลิตอาหารเลี้ยงดูคนทั้งโลกได้อย่างเพียงพอและยั่งยืน
“อย่างไรก็ตามภาคการเกษตรควรได้รับการดูแลโดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น ส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร การสร้างแรงจูงใจให้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงเร่งผลักดันให้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้เพิ่มขึ้น สยามคูโบต้าเองตระหนักถึงปัญหาต่างๆ เหล่านี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะปัญหาทรัพยากรดินและน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของภาคเกษตรกรรม จึงได้พยายามหาแนวทางพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆ เพราะหากปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่ร้ายแรงตามมาจนถึงขั้นการขาดแคลนอาหารของคนทั้งโลก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเรื่องทรัพยากรดินและน้ำจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ในภาคการเกษตรอีกต่อไป หากแต่เป็นสิ่งที่เราต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาคการเกษตรและสิ่งแวดล้อม และมองให้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น” นายโอภาศ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หน่วยงานประชาสัมพันธ์ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ติดต่อ คุณฆโนทัย ไพโรจนานันท์ (ตูน) โทร. 0-2909-0300 ต่อ 426