กรุงเทพฯ--14 ธ.ค.--บลจ.กรุงไทย
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้บริษัทร่วมอออกบูธงานมหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้ายด้วย RMF —LTF ระหว่างวันที่ 15-18 ธันวาคม ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด และงาน Smart Money ในวันที่ 16-18 ธันวาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งบริษัทจะเน้นการจำหน่ายกองทุน RMF / LTF ที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายให้กับลูกค้าได้เลือกลงทุนตามความเหมาะสม ทั้งกองทุนประเภทตราสารหนี้ ตราสารทุน กองทุนผสม และทองคำ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดโปรโมชั่น เมื่อลูกค้าซื้อกองทุน RMF-LTF ทุกๆ1ล้านบาท รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิดกรุงไทยสะสมทรัพย์ ( KTSS ) มูลค่า 12,000 บาท และบริษัทยังได้จับมือ กับธนาคารกรุงไทย ในการจัดโครงการ KTB- B/E Together โดยผู้ลงทุนที่ซื้อ LTF กองทุนใดก็ได้ หรือหลายกองทุน ที่อยู่ภายใต้การบริหารและจัดการของบริษัท และลงทุนคู่กับตั๋วแลกเงินของธนาคารกรุงไทย อายุ 4 เดือน ในวงเงินที่เท่ากัน ตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป รับดอกเบี้ยพิเศษ 4.10% ต่อปี
บริษัทยังได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ลงทุน โดยสามารถซื้อกองทุนผ่านบัตรเครดิต ได้ทั้งบัตรเคทีซี ซิตี้แบงก์ บัตรเครดิตในเครือกรุงศรี และเทสโก้ โลตัส ซึ่งแต่ละบริษัทได้ร่วมจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าที่ซื้อกองทุนผ่านบัตรเครดิตอีกด้วย โดยเคทีซี มอบบัตรของขวัญเซ็นทรัล มูลค่าสูงสุด 3,000 บาท
บัตรเครดิตซิตี้แบงก์ แบ่งชำระ 0% นาน 3 เดือน ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป และ ผ่อนชำระ 4, 6, 10 เดือน ดอกเบี้ย 0.50%ต่อเดือน พร้อมรับคะแนนสะสมทุก 50 บาทต่อ 1 คะแนน
บัตรเครดิตกรุงศรี , โฮมโปรวีซ่า , บัตรเซ็นทรัล เครดิต คาร์ด สามารถผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 10 เดือน ดอกเบี้ย 0.55% ต่อเดือน หากเลือกผ่อนชำระนาน 3, 4, 6 เดือน เมื่อลงทุน 80,000 บาท ขึ้นไป รับฟรี Dream Party Bag มูลค่า 1,000 บาท และเลือกผ่อนชำระนาน 9 และ 10 เดือน รับฟรี Central Gift Voucher มูลค่า 1,000 บาท บัตรเครดิตเทสโก้ วีซ่า ผ่อนนานสูงสุด 10 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อเดือน
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่าง การจำหน่ายรอบใหม่ ( Roll Over ) ของกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3 เดือน 3 ( KTSIV3M3 ) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2554 เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน เงินฝาก และตราสารหนี้สถาบันการเงินในประเทศ อายุโครงการ 3 เดือน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.05% ต่อปี
สำหรับอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ ยังได้รับอิทธิพลจากกระแสเงินสดไหลเข้าในประเทศทั้งจากกองทุนต่างประเทศที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนนี้จำนวนมาก และเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ แม้ว่าในปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.25% แต่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐในปัจจุบันสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อย 0.25% ในการประชุม กนง.ครั้งถัดไป ในวันที่ 25 ม.ค. 2555