(ต่อ1) ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เสนอภาพยนตร์ เรื่อง "CHEAPER BY THE DOZEN"

ข่าวทั่วไป Monday February 16, 2004 13:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
นักแสดง
นักแสดง / ดาราตลก / นักเขียน / นักเขียนบทละคร / ผู้อำนวยการสร้าง สตีฟ มาร์ติน (ทอม) หนึ่งในบรรดาดาราผู้มีผลงานหลากหลายในวงการภาพยนตร์วันนี้ และยังเป็นนักเขียนและนักแสดงที่ประสบความสำเร็จในหนังยอดนิยมบางเรื่องในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ล่าสุด
ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทำงานหนังเรื่อง "Shopgirl" นำแสดงโดยแคลร์ เดนส์ และเจสัน ชวาร์ทซแมน จากบทภาพยนตร์ซึ่งเขียนโดยมาร์ติน และดัดแปลงจากนวนิยายขายดีของเขาในชื่อเดียวกัน "Shopgirl" เป็นเรื่องราวของความรักที่ซับซ้อนสนุกสนานของสาวน้อยซึ่งทำงานอยู่ที่เคาน์เตอร์ขายถุงมือที่ Saks Fifth Avenue ซึ่งเฝ้าฟูมฟักความใฝ่ฝันที่จะเป็นศิลปิน และชายหนุ่มร่ำรวยที่มีอายุมากกว่าเธอ ซึ่งยังคงเรียนรู้เกี่ยวกับผลที่จะตามมาสืบเนื่องจากสัมพันธ์รัก
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาได้ร่วมแสดงกับควีนลาติฟาห์ ในหนังคอมเมดี้บันลือโลก "Bringing Down the House" เขายังได้แสดงในหนังร่วมกับตัวการ์ตูน "Looney Tunes: Back In Action" ร่วมกับเบรนแดน เฟรเซอร์, เจนน่า เอลฟ์แมน, และแกงค์ลูนนี่ ทูนส์ทั้งหมด
มาร์ตินเป็นพิธีกรให้กับงานตุ๊กตาทองประจำปีครั้งที่ 75th และ 73rd สำหรับการทำงานเป็นพิธีกรครั้งแรกของเขานั้น ทำให้รายการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ รวมทั้งรางวัล "Outstanding Individual Performance in a Variety or Music Program"
เขาเกิดที่แวโค เท็กซัส และโตขึ้นมาในแคลิฟอร์เนียใต้ มาร์ตินกลายเป็นนักเขียนงานโทรทัศน์ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และได้รับรางวัลเอ็มมี่สำหรับผลงานของเขาในซีรี่ส์เรื่องฮิต "The Smothers Brothers Comedy Hour" เมื่อตอนปลายทศวรรษเขาได้แสดงจากผลงานเขียนของตัวเองในคลับและทางโทรทัศน์
หลังจากทำงานบ่อยครั้ง ในรายการ "The Tonight Show Starring Johnny Carson" มาร์ตินก็ไปเป็นพิธีกรให้กับรายการโชว์นวัตกรรมซีรี่ส์ของ "Saturday Night Live" และแสดงพร้อมทั้งร่วมเขียนบทให้กับรายการสเปเชียลทางโทรทัศน์จำนวน 4 ตอนที่มีเรตติ้งสูงมาก ในช่วงที่ออกทัวร์คอนเสิร์ตในประเทศ เขาได้เแสดงต่อหน้าบรรดาผู้ชมซึ่งต้องยืนดูเท่านั้น ในสถานที่ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เขายังได้รับรางวัลแกรมมี่จากผลงานอัลบั้มคอมเมดี้ของเขา "Let's Get Small" และ "A Wild and Crazy Guy" และยังได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำจากซิงเกิ้ล "King Tut" ของเขา
หนังเรื่องแรกของมาร์ติน "The Absent-Minded Waiter" เรื่องสั้นที่เขาเขียนและแสดงด้วย ได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองปี 1977 และในปี 1979 เขาก็ย้ายเข้าสู่งานภาพยนตร์จอใหญ่ ร่วมเขียนบท และแสดงใน "The Jerk" กำกับการแสดงโดยคาร์ล ไรเนอร์ ในปี 1981 เขาได้แสดงคู่กับ เบอร์นาเด็ต ปีเอตร์ส ในหนังเพลงคอมเมดี้หวานปนขม ของเฮอร์เบิร์ต รอส "Pennies >From Heaven"
จากนั้นนักแสดงผู้นี้ก็ได้ร่วมเขียนบทและแสดงในหนังนักสืบระทึกขวัญ เรื่อง "Dead Men Don't Wear Plaid" และหนังคอมเมดี้ไซไฟ "The Man With Two Brains" ทั้งสองเรื่องกำกับฯ โดย ไรเนอร์ ในปี 1984 มาร์ตินได้รับรางวัล Best Actor Award จากทั้ง New York Film Critics Association และรางวัล National Board of Review จากผลงานที่แสดงคู่กับลิลี่ ทอมลินใน "All of Me" ซึ่งเป็นการร่วมงานครั้งที่สี่ของเขากับผู้กำกับฯ คาร์ล ไรเนอร์
ในปี 1987 ภาพยนตร์เรื่องฮิตของเขา "Roxanne" งานดัดแปลงสมัยใหม่จากตำนาน Cyrano de Bergerac ทำให้มาร์ตินไม่เพียงแต่จะได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างอบอุ่น แต่ยังได้รับรางวัล Best Actor Award จาก Los Angeles Film Critics Association และรางวัล Best Screenplay Award จาก Writer Guild of America มาร์ตินยังเป็นผู้อำนวยการบริหารภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
ในปี 1988 เขาได้ร่วมแสดงกับไมเคิล เคน ในหนังคอมเมดี้เรื่องฮิต "Dirty Rotten Scoundrels" ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่สองซึ่งเขาร่วมงานกับผู้กำกับฯ แฟรงค์ ออซ (หลังจากเรื่อง "Little Shop of Horrors") ในปี 1989 เขายังได้ร่วมแสดงกับแมรี่ สตีนเบอร์เกน และไดแอน ไวสท์ ในหนังคอมเมดี้อันเป็นที่รักของรอน โฮเวิร์ด เรื่อง "Parenthood"ในปี 1991 มาร์ตินเขียนบท แสดง และร่วมอำนวยการบริหาร ในหนังคอมเมดี้ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เรื่อง "L.A. Story" หนังคอมเมดี้เกี่ยวกับเรื่องความรักที่เกิดขึ้นในลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นการเสียดสีเมืองนั้นด้วย
ในปีเดียวกันนั้น เขาได้แสดงเพื่อรำลึกถึงในหนังเรื่องดังของลอว์เรนส์ แคสแดน เรื่อง "Grand Canyon" และแสดงกับ ไดแอน คีตัน ในงานหนังเรื่องฮิต "Father of the Bride" และได้รับรางวัล People's Choice Award for Favorite Actor in a Comedy Motion Picture สำหรับเรื่องหลัง ในปี 1992 เขาได้แสดงในหนังคอมเมดี้เรื่อง "Housesitter" กับโกลดี้ ฮอว์น และได้รับรางวัล People's Choice Award for Favorite Actor in a Comedy ติดต่อกันเป็นปีที่สองในปี 1996 เขาร่วมทีมอีกครั้งกับไดแอน คีตั้น ในภาคต่อยอดฮิตของ "Father of the Bride" และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ในปี 1997 เขาได้รับคำชมจากนักวิจารณ์จากผลงานที่ย้ำถึงความสามารถ ในหนังระทึกขวัญของผู้กำกับฯ เดวิด มาเหม็ด เรื่อง "The Spanish Prisoner"
มาร์ตินเขียนบทและแสดงในหนังคอมเมดี้ปี 1999 เรื่อง "Bowfinger" คู่กับเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ กับผู้กำกับฯ แฟรงค์ ออซ หนังเรื่องนี้ได้เข้าฉายที่ Deauville International Film Festival
ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของมาร์ติน ได้แก่ หนังคอมเมดี้ "Planes, Trains and Automobiles" กำกับฯ โดยจอห์น ฮิวจ์ส และร่วมแสดงโดย จอห์น แคนดี้; หนังการ์ตูนตะวันตก "The Three Amigos" ร่วมแสดงโดย มาริน ชอร์ท และเชวี เชส; "The Lonely Guy" ร่วมแสดงโดย ชาร์ลส โกรดิน; หนังดัดแปลงของโจนาธาน ลินน์ "Sgt. Bilko" ร่วมแสดงโดย แดน ไอครอยด์ และ ฟิล ฮารืตแมน; หนังของริชาร์ด เพียร์ซ "Leap of Faith" ร่วมแสดงโดย เดบรา วิงเกอร์ และแลียม นีสัน; "My Blue Heaven" ร่วมแสดงโดย ริค โมรานิส และโจแอน คูแซค; และแบล็คคอมเมดี้ "Novocaine" ร่วมแสดงโดยเฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ และลอร่า เดิร์น
ในช่วงใบไม้ร่วงปี 1993 ละครออริจินัลเรื่องแรกของมาร์ติน ผลงานคอมเมดี้ดราม่า "Picasso at the Lapin Agile" ได้เปิดตัวบนเวทีทรงเกียรติของชิคาโก - Steppenwolf Theatre Company ติดตามมาด้วยคำวิจารณ์ยกย่องและการแสดงต่อเวลา และเช่นเดียวกับในชิคาโก ละครเรื่องนี้ลงโรงอย่างประสบความสำเร็จในบอสตันและลอสแอนเจลิส และจากนั้นนอกบรอดเวย์ในนิวยอร์คที่ Promenade Theatre โดยได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วประเทศ นับแต่นั้นมา และยังความต่อเนื่องในความเป็นงานละครไปทั่วโลก "The Underpants" ผลงานดาร์กคอมเมดี้ที่มาร์ตินได้ดัดแปลงจากละครปี 1911 โดย คาร์ล สเตอเนียม เปิดรอบปฐมทัศน์นอกบรอดเวย์ที่ Classic Stage Company เมื่อวันที่ 4 เมษายน ปี 2002
มาร์ตินได้รับเลือกให้เป็น Hasty Pudding Theatricals 1988 Man of the Year โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้รับรางวัลที่เคมบริดจ์ แมสซาชูเซทส์ นปี 1996 Third Decade Council แห่ง American Film Institute ได้มอบรางวัล Lifetime Achievement Award อันทรงเกียรติให้กับมาร์ตินสำหรับผลงานของเขาที่ U.S. Comedy Arts Festival ภาพวาดที่ได้รับการคัดเลือกจากคอลเล็คชั่นส่วนตัวจำนวนมากของเขา ได้ออกแสดงเป็นพิเศษที่แกลอรี่ของ Bellagio Hotel ในลาสเวกัสเมื่อปี 2000 พร้อมกับบันทึกในแคตตาล็อก ซึ่งเขียนโดยมาร์ติน
หลังจากความสำเร็จที่ได้รับจากงานนวนิยายเรื่องแรกของเขาShopgirl นิยายเรื่องที่สองของมาร์ติน The Pleasure of My Company ก็ได้รับการตีพิมพ์โดย Hyperion และกำลังไต่อันดับขึ้นสู่รายชื่อหนังสือขายดีที่สุด เขายังได้เขียนคอลเล็คชั่นการ์ตูนขายดีเรื่อง Pure Drivel และผลงานของเขายังได้ลงใน New Yorker และ New York Times อยู่บ่อยๆ เขามีบ้านอยู่ในนิวยอร์คซิตี้และลอสแอนเจลิส
บอนนี่ ฮันท์ (เคท) ครอบครองโลกภาพยนต์ โทรทัศน์ และละคร ในฐานะนักแสดง ผู้เขียนบท และผู้กำกับฯ โตขึ้นมาในถิ่นผู้ใช้แรงงานของชิคาโก ฮันท์เคยทำงานในหน่วยพยาบาลของโรงเรียนมัธยม และได้กลายเป็นพยาบาลที่ Northwestern University Hospital ในเวลาเดียวกันเธอก็ได้ทำงานทางการแสดง ที่ Second City อันเลื่องชื่อ ฮันท์มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกในงานของแบรี่ เลวินสัน เรื่อง "Rain Man" รับบทเป็นสาวเสิร์ฟซุ่มซ่าม และเธอยังเป็นไกด์คนขยันผู้น่าขันของไวท์เฮาส์ ในเรื่อง "Dave" ("เรากำลังเดิน, เรากำลังเดิน…")
ในปี 1996 ฮันท์ได้รับบทน้องสาวหัวไวของเรเน เซลเวกเกอร์ในหนังของคาเมรอน โครว์ เรื่องฮิต "Jerry Maguire" ผลงานเรื่องอื่นๆ ได้แก่: "Jumanji" กับโรบิน วิลเลียมส์, นอร์แมน จิววิสัน ใน "Only You" เป็นเพื่อนรักของมาริสา โทเมอิ และในหนังของชาร์ลส โกรดิน เป็นภรรยาผู้วุ่นวายในหนังครอบครัวเรื่องฮิต "Beethoven" และ "Beethoven's 2nd"นอกเหนือจากความสำเร็จอย่างมากมายของเธอกับงานในจอภาพยนตร์ ฮันท์ยังได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "Return To Me" ในปี 1999 ซึ่งเธอได้ร่วมเขียนกับเพื่อนที่ร่วมงานกันมานาน ดอน เลค นำแสดงโดย เดวิด ดูคอฟนีย์, มินนี ไดรเวอร์, แครอบ โอ คอนเนอร์, โรเบิร์ต ลอคเกีย, เดวิด อลัน ไกรเออร์, โจเอลลี ริชาร์ดสัน, จิม เบลูชี และฮันท์ เป็นภาพยนตร์คอมเมดี้รักโรเมนติค ที่แสดงให้เราเห็นว่า ในเรื่องของความรักหัวใจจะเป็นผู้นำทาง "Return To Me" ถ่ายทำเกือบทั้งเรื่องที่บ้านเกิดของฮันท์ในชิคาโก
ฮันท์เป็นผู้ให้เสียงเป็น โรซี หนึ่งในบรรดาแมลงผู้ร่าเริงในหนังแอนิเมชั่นเรื่องฮิต "A Bug's Life" และร่วมแสดงในเรื่อง "The Green Mile" กับทอม แฮงค์ส และเคียงบ่ากับแฮร์ริสัน ฟอร์ด และคริสติน สก็อต โธมัสใน "Random Hearts"ฮันท์มีงานแสดงประจำในซีรี่ส์โทรทัศน์ "Grand" และ "Davis Rules" ในปี 1993 เธอได้รับคำยกย่องอย่างมากในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เขียนบท อำนวยการสร้าง และแสดงในซีรี่ส์ของตนเอง เรื่อง "The Building" และคอมเมดี้รวมรส (ซึ่งเธออำนวยการบริหารด้วย) ซึ่งรับบทโดยฮันท์ และเพื่อนของเธอจาก Second City เป็นผู้ใหญ่วัยละอ่อนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ที่ชิคาโก เธอยังได้เขียนบท อำนวยการสร้าง และแสดงในงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ อย่าง "Bonnie" ทาง CBS บทบาทตลกขบขันที่เธอแสดงเป็นประจำในรายการทอล์กโชว์ต่างๆ ทำให้เธอได้รับคำยกย่องจาก Entertainment Weekly ว่าเป็น "แขกรับเชิญผู้ถ่ายทอดได้ยอดเยี่ยมที่สุดในอเมริกา [ทอล์กโชว์
]"
เธอยังมีผลงานใน "Stolen Summer" ซึ่งกำกับการแสดงโดยพีท โจนส์ และร่วมแสดงกับ ไอแดน ควินน์และเควิน พอลแล็ค เรื่อง "Stolen Summer" ยังได้รับความสนใจอย่างมากจากรายการทาง HBO - ซีรี่ส์ "Project Greenlight" ซึ่งได้ทำบันทึกการทำงานเรื่องนี้ ฮันท์ได้รับเสียงชื่นชมจากผลงานในเรื่อง "Stolen Summer" เมื่อออกฉายในงาน Sundance Film Festival เมื่อปี 2001
ขณะนี้ฮันท์กำลังทำงานซีซันที่สองของ "Life With Bonnie" ซึ่งเธอได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในปี 2003
ฮิลารี่ ดัฟฟ์ (ลอร์เรน) เป็นหนึ่งในบรรดาดาวรุ่งกำลังพุ่งแรงของฮอลลีวู้ด นักแสดงสาวน้อยผู้นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นดาราที่ได้เข้าชิงรางวัลเอ็มมี่จากซีรี่ส์ฮิตของ Disney Channel "Lizzie McGuire" ซึ่งเธอได้รับบทสาววัยรุ่นผู้นำการก่อกวนของกลุ่มในโรงเรียน ในรูปแบบสมัยใหม่และประเพณีปฏิบัติ ในขณะที่อัตตาแสนทะเล้น ขี้เล่นของเธอทำให้เกิดคำวิพากษ์อย่างต่อเนื่อง "Lizzie McGuire" ออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคมปี 2001 ในเดือนพฤษภาคมปี 2003 ดัฟฟ์ได้นำพาตัวละครของเธอขึ้นสู่จอใหญ่เป็นครั้งแรกในคอมเมดี้ฮิต เรื่อง "The Lizzie McGuire Movie" หลังจบการศึกษาจาก Hillridge Middle School ลิซซี่และผองเพื่อนของเธอก็ออกเดินทางไปยังอิตาลี และเธอถูกเข้าใจผิดว่าเป็น อิสซาเบลลา (ร็อคเกอร์ชาวอิตาเลียน) และเริ่มตกหลุมรักเปาโล (ร็อคเกอร์หนุ่มรูปหล่อชาวอิตาเลียน และแฟนเก่าของอิสซาเบลลา) ในขณะที่ลิซซีถูกแปลงโฉมจากสาวรุ่นซุ่มซ่ามให้เป็นป็อพสตาร์แสนสวยนั้น ตัวตนที่แท้จริงของเปาโลก็ผุดขึ้นมา และลิซซี่ก็ได้พบกับความหมายที่แท้จริงของคำว่ารักและมิตรภาพ
เธอยังได้รับบทนำใน "Cinderella Story" หนังคอมเมดี้กับเรื่องราวของนักเรียนมัธยมในแคลิฟอร์เนียใต้ ซึ่งแปลงโฉมจากวัยรุ่นเก้งก้างไปเป็นดาวโรงเรียน มีกำหนดออกฉายช่วงซัมเมอร์ปี 2004
ก่อนหน้านี่ ฮิลารี่ยังได้ร่วมแสดงกับแฟรงกี้ มิวนิซ ในหนังเรื่อง "Agent Cody Banks" เธอรับบท นาตาลี คอนเนอร์ส นักเรียนเตรียมฯ ซึ่งตกอยู่ท่ามกลางความสัมพันธ์กับสายลับวัยรุ่น - และพ่อของเธอ นักวิทยาศาสตร์ที่แอบพัฒนากองทัพนาโนบ็อตมฤตยูโดยไม่มีใครรู้
ดัฟฟ์ได้แสดงในภาพยนตร์บันลือโลก เรื่อง "Cadet Kelly" ซึ่งติดอันดับหนังออริจินัลที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลกของ Disney Channel ซึ่งเป็นหนังที่มีเรตติ้งอันดับสูงสุดจากการออกอากาศและเป็นหนังเคเบิลทีวีในอาทิตย์แรกจนถึงทุกวันนี้นับตั้งแต่ปี 2002เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ดัฟฟ์ได้ก้าวข้ามไปสู่อีกแท่น ด้วยการร้องเพลงเป็นครั้งแรกในผลงานซิงเกิ้ล "I Can't Wait" ในซาวน์ดแทร็คของเรื่อง "Lizzie McGuire" จาก Walt Disney Records เพลงนี้ได้พุ่งแรงติดชาร์ทของ Radio Disney และก็ได้เป็นอัลบั้ม Gold จาก R.I.A.A. เมื่อธันวาคมที่แล้ว สิ่งที่ตามมาจากความสำเร็จครั้งแรกของเธอก็คืออัลบั้มเพลงคริสต์มาส "Santa Claus Lane" จาก Walt Disney Records ในอัลบั้มนี้ฮิลารี่ได้ร้องคู่กับ R&B / ศิลปินเพลงป็อพ คริสตินา มิเลียน และศิลปินฮิพฮอพ Lil' Romeo นอกจากนั้นเธอยังได้สร้างผลงานใน "The Tiki Tiki Room" ในอัลบั้ม Disneymania ซาวน์ดแทร็คของ "The Lizzie McGuire Movie" เข้าสู่อันดับ #1 ของชาร์ทบิลบอร์ด และติดอันดับแพลทตินัมในเดือนมิถุนายนปี 2003 ฮิลารี่ออกอัลบั้มเดี่ยวของเธอ "Metamorphosis" ในเดือนสิงหาคมและติดอันดับ #1 ของบิลบอร์ดชาร์ทในสัปดาห์ที่สอง
ดัฟฟ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Favorite Television Actress for Nickelodeon's "15th Annual Kids' Choice Awards," และเธอได้รับรางวัลกับ "Lizzie McGuire" ซึ่งได้รับการโหวตให้เป็น Favorite Television Series ทั้งในปี 2002 และ 2003
ดัฟฟ์มีผลงานบนเวทีละครเมื่ออายุหกขวบกับ BalletMet Columbus และคณะทัวร์ "The Nutcracker" บทต่อมาที่เธอได้รับในงานโฆษณาโทรทัศน์เป็นสิ่งที่นำเธอไปสู่งานด้านการแสดง และอีกไม่นานต่อมาเธอก็ได้สร้างผลงานมากมายทั้งในโทรทัศน์และภาพยนตร์
ทางโทรทัศน์เธอมีผลงานในซีรีส์ "True Women" กับเดนา เดลานีย์ และเรเชล ลีห์ คุกใน "Soul Collector "ซึ่งทำให้ได้รางวัล "Young Artist Award" - Best Supporting Actress และเป็นแขกรับเชิญใน "Chicago Hope" ผลงานภาพยนตร์ของเธอ ได้แก่ใน "Playing by Heart" กับฌอน คอนเนอรี่, เดนนิส เควด และจีน่า โรว์แลนด์ส; และเป็นเวนดี้ เพื่อนรักของผีน้อยในหนังวิดีโอเรื่องดัง "Casper Meets Wendy"; และในหนังยอดนิยมของ Cannes Film Festival "Human Nature" กับทิม ร็อบบินส์
เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1987 ดัฟฟ์แบ่งเวลาของเธอระหว่างบ้านที่ฮุสตันและลอสแอนเจลิส กับพ่อแม่ น้องสาว และหมาสองตัว เธอรักการว่ายน้ำ กายกรรมและเล่นโรลเลอร์เบลด ดัฟฟ์ยังทำงานให้กับ Advisory Board of the Audrey Hepburn Child Benefit Fund และ Celebrity Council of Kids with a Cause
ทอม เวลลิ่ง (ชาร์ลี) แสดงในซีรีส์ฮิต "Smallville" เป็นคลาร์ก เคนท์ ตอนวัยรุ่น ซึ่งพยายามควบคุมพลังเหนือธรรมชาติที่เริ่มปรากฎของเขา เรื่อง CHEAPER BY THE DOZEN เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา
เกิดและโตในนิวยอร์ค เวลลิ่งมีผลงานแสดงสองสามเรื่องในละครโรงเรียนมัธยม ก่อนย้ายไปยังลอสแอนเจลิส เพื่อทำงานเป็นอาชีพ เขามีชื่อเสียงทางการแสดงเมื่อได้รับบทในงานหกตอนทาง CBS กับเรื่อง "Judging Amy" ในบทโรแมนติคคู่กับ เอมี่ เบรนเนแมน และต่อมาก็ได้รับบทเคนท์หลังจากที่มีการเสาะหาตัวทั่วประเทศ
ไพเปอร์ เพราโบ (นอร่า) แสดงในภาพยนตร์ของเจอรี่ บรุคไฮเมอร์ เรื่อง "Coyote Ugly" ซึ่งกำกับฯ โดยเดวิด แมคแนลลี ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุด ได้แก่ "Piece of My Heart" กับมาร์ติน เฮนเดอร์สัน และ "The I Inside" กับไรอัน ฟิลลิป
เพราโปมีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอในเรื่อง "White Boys" เขียนบทโดยผู้เขียนบทละครเวที/นักแสดง แดนนี่ โฮช เธอยังได้แสดงใน "The Adventures of Rocky and Bullwinkle" กับโรเบิร์ต เดอนีโร และเรเน รุสโซ และใน "Lost and Delirious" กำกับการแสดงโดยลี พูล
จบการศึกษาจาก Ohio University เพราโบเกิดและโตในทอมส์ ริเวอร์ นิวเจอร์ซีย์ ตอนนี้มีบ้านอยู่ที่นิวยอร์ค
เควิน จี ชมิท (เควิน) โตในวิชิตา แคนซัส ที่เขาสนุกสานกับงานแสดง กีฬา และกิจกรรมของ"เด็กทั่วไป" หลายชนิดเควินมีผลงานในภาพยนตร์เรื่อง "Minority Report" และในซีรีส์ "Grounded For Life," "Providence," Judging Amy," "The District," "King of Queens" และ "Curb Your Enthusiasm" เขาได้เป็นดารารับเชิญในงานมินิซีรีส์เรื่อง "Taken" อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปิลเบิร์ก และกำกับฯ โดย โทบี ฮูเปอร์ และในซีรีส์ไพล็อท "Navy NCSI"
เควินมีผลงานในหนังที่กำลังจะออกฉายเรื่อง "The Butterfly Effect" กับแอชตัน คุทเชอร์ และในหนังของทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ เรื่อง "Catch That Kid" เควินอยู่ที่แอนโดเวอร์ แคนซัสและลอสแอนเจลิส ซึ่งเขาเรียนไปพร้อมกับการทำงานในวงการบันเทิงตามความปรารถนา
อลิสัน สโตนเนอร์ (ซาราห์) เก่งเรื่องบัลเลต์ แท็ป แจ๊ซ และฮิพฮอพ เธอได้รับการฝึกกับครูสอนเต้น เวด ร็อบสัน, ฟาติมะ และไฮ แฮท และเต้นกับวิดีโอยอดนิยมของ Missy Elliot - "Work It"
ก่อนย้ายมาลอสแอนเจลิส อลิสันได้รับการฝึกเดินแบบในโทเลโด โอไฮโอ เธอยังได้ร่วมกับ IMTA Convention ในนิวยอร์ค ซิตี้และได้รับรางวัลการแสดง เต้น และเดินแบบ อลิสันเป็นพิธีกรร่วมในรายการทาง Disney Channel - "Mike's Super Short Show" ซึ่งผู้ดำเนินรายการจะได้ชมพรีวิวของงาน DVD และ video ที่กำลังจะออกจำหน่าย
อลิสันแสดงในงานไพล็อททางโทรทัศน์สองรายการ และเรื่องสั้นอีกหลายรายการ กับ "The Tonight Show with Jay Leno" เธอยังทำงานโฆษณา พากย์เสียง และละครอีกหลายชิ้น
อลิสันชอบเล่นทั้งบาสเก็ตบอลและฟุตบอลกับเพื่อนๆ ในทีมโรงเรียน เธอยังเล่น ซอฟท์บอล วอลเลย์บอล และยิมนาสติคอีกเล็กน้อยด้วย
เจคอบ สมิธ (เจค) เป็นเด็กที่โตในเมืองเล็ก - มอนโรเวีย ชานเมืองลอสแอนเจลิส เจคอบแสดงในเรื่อง "Dragonfly" กับเควิน คอสเนอร์ และในหนังมหากาพย์ "Troy" ที่กำลังจะออกฉาย กับแบรด พิทท์ เจคอบยังรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง "Hansel and Gretel" และได้ถ่ายทำหนังไพล็อทเรื่อง "Gilmore Girls" ไปแล้ว
เจคอบเริ่มการแสดงเป็นอาชีพเมื่ออายุ 4 ขวบ เมื่อเขาได้รับเลือกจากโฆษณาของ American Standard ในการทดสอบบทเขาถูกขอให้เลียนแบบจิม แครี่ และได้ทำให้ผู้สร้างประทับใจกับพรสวรรค์และพลังของเขา อีกไม่นานต่อมา เจคอบก็ได้รับเลือกให้เป็นน้องชายของเคิร์สเทน ดันท์ส ในเรื่อง "Small Soldiers" นับแต่นั้นมาเจคอบก็ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องทั้งในจอและโทรทัศน์ และมีงานประจำในซีรีส์ของ Fox เรื่อง "Party of Five"
เจคอบมีครอบครัวที่น่ารักและให้ความสนับสนุนเขา รวมทั้งน้องสาว นาตาชา และน้องชาย แทธานีล ในเวลาว่างเขาชอบว่ายน้ำ เล่นสเกตบอร์ด และกีฬาทุกชนิด
ฟอร์เรสท์ แลนดิส (มาร์ค) โตในอินเดียนาโปลิส อินเดียน่า ประสบการณ์งานแสดงของเขารวมถึงงานโฆษณาระดับชาติ ให้กับ McDonald's และ Kraft Cheese และได้เป็นแบบบนกล่องของอาหารเช้าซีเรียลยี่ห้อ LIFE หนังเรื่อง CHEAPER BY THE DOZEN เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา
ฟอร์เรสท์ชอบเล่นสเกตบอร์ด โรลเลอร์เบลด บาสเก็ตบอล เบสบอล และขี่จักรยาน กำลังจะขึ้นเกรดสามปีหน้าที่ Oaklandon Elementary ในอินเดียนาโปลิส
ลิเลียนา มูมี (เจสสิก้า) แสดงภาพยนตร์เรื่อง "The Santa Clause 2" ซึ่งนำแสดงโดยทิม อัลเล็น ผลงานจอเล็กจำนวนมากของเธอ ได้แก่ "My Wife and Kids," "That '70s Show," "Strong Medicine," "Scrubs," และ "The Twilight Zone" (กับพ่อของเธอนักแสดง บิล มูมี) ลิเลียนาเป็นผู้ให้เสียงในเรื่อง "Lilo and Stitch 2" ซีรีส์เรื่องใหม่ "Adventure of Lilo and Stitch," และซีรีส์ "Higglytown Heroes"
ลิเลียนาชอบทำงานฝีมืออัญมณี ถักนิตติ้ง ว่ายน้ำ ฮูลาฮุพ เต้น โรลเลอร์เบลด ปิงปอง ขี่จักรยาน เล่นซอฟท์บอลรุ่นเล็ก และแต่งเพลง เธออยากมีสุนัขหกตัวเป็นของตนเองในสักวันหนึ่ง
ลิเลียนาอยู่ที่แถบทิวเขาใน Laurel Canyon กับแม่ไอลีน พ่อบิล พี่ชาย เซธ และบักกี้ กับเฮอร์ลีย์ หมาของเธอ
มอร์แกน ยอร์ค (คิม) เริ่มทำงานแสดงเมื่ออายุแปดเดือน ในงานโฆษณาระดับชาติชิ้นแรกของเครื่องวัดอุณหภูมิทางหูยี่ห้อ ThermoScan เธออยู่ในนิวยอร์คซิตี้เป็นเวลาหลายปี และเรียนหนังสือที่ City and Country School of Greenwich Village และ Joffrey School of Ballet มอร์แกนได้แสดงหลายครั้งใน "Sesame Street" เป็นเวลาสองซีซัน เธอแสดงในหนังสั้น "The Vest" ซึ่งชนะรางวัล Grand Jury Award - Best Narrative Short ที่ Florida Film Festival
ในยามว่าง มอร์แกน ชอบวาดรูป อ่านหนังสือชุดอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ และแนนซี ดรู เล่นบาสเกตบอล และเข้าแข่งกับทีมบาสเกตบอล UCLA Women เธอเรียนที่ Carpenter Avenue School ใน Studio City แคลิฟอร์เนีย กับเวนดี้ น้องสาววัย 7 ขวบ และน้องชายวัย 4 ขวบของเธอ
เบลค วู้ดรัฟฟ์ (ไมค์) เกิดเมื่อ 19 มิถุนายน 1995 ในอริโซน่า และทำงานแสดงมาตั้งแต่หกขวบ ใช้ชีวิตที่วุ่นวายกับบรรดาพี่น้อง ไอลา (11), เรนา (10) และเทรเวอร์ (6) เบลคเพิ่งเสร็จจากการทำงานหนังเรื่อง "Blind Horizon" นำแสดงโดย วาล คิมเมอร์ และ เฟย์ ดันนาเวย์ซึ่งจะออกฉายช่วงใบไม้ผลิหน้า
เบลคชอบเล่นสเกตบอร์ด จักรยานวิบาก บูกี้บอร์ด เต้น และยิมนาสติค ฟังเพลงร็อค และคันทรี่ ชอบเล่นกีตาร์โปร่ง และรักการแสดงร่วมกับพี่น้อง
พี่น้องฝาแฝด เชน และ เบรนท์ คินสแมน (ไนเจล และ ไคล์) เข้าสู่วงการแสดงตามแฟชั่นฮอลลีวู้ดอย่างแท้จริง : ตอนอายุสี่ขวบเมื่อครั้งไปดูกีฬาดอดเจอร์ในลอสแอนเจลิส ฝาแฝดได้เป็นที่สะดุดตาของหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง AKA -ดัค อีไล เขาจับทั้งคู่เซ็นสัญญาโดยทันทีกับแผนกเด็ก ซึ่งดูแลโดยโรบิน สปิทเซอร์ งานชิ้นแรกของพวกเขาคือโฆษณายาไทลินอล และทดสอบบทครั้งแรกกับเรื่อง CHEAPER BY THE DOZEN ในเวลาอีกไม่นานต่อมา ซึ่งพวกเขาได้รับเลือกให้เป็น "ตัวร้ายหน้าคล้ายกัน" ของครอบครัวลูก 12
แฝดเหมือนคู่นี้รักชีวิตอิสระเช่นเดียวกับเด็กชายวัยหกขวบทุกคน รวมทั้งการเล่นวิดีโอเกม สเกตบอร์ด และไปโรงเรียนอนุบาล สองพี่น้องยังได้เรียนรู้ทักษะพิเศษของการขี่มอเตอร์ไซค์และจักรยานวิบาก ซึ่งทั้งคู่ได้ฝึกกับพ่อของพวกเขาในทางขี่แถวบ้าน
เบรนท์กับเชนอยู่กับพ่อแม่ แกรนท์และจีนเนต คินสแมนในแคลิฟอร์เนียใต้
(ยังมีต่อ)
-รก-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ