วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอภาพยนตร์ SCOOBY-DOO 2: MONSTERS UNLEASHED

ข่าวทั่วไป Tuesday February 17, 2004 11:39 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
SCOOBY-DOO 2: MONSTERS UNLEASHED
WARNER BROS. PICTURES
WB-OWNED STORY
กองถ่ายภาพยนตร์น่าจะเป็นที่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงเอะอะ รวมทั้งกิจกรรมที่แสนวุ่นวาย แต่บางครั้งการเดินเข้าไปในซาวน์ดสเตจอาจเป็นการทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังก้าวเข้าไปอยู่ในโลกมหัศจรรย์จนแทบจะลืมหายใจก็ว่าได้
หนึ่งในสถานที่นั้นก็คือกองถ่ายของ "Scooby-Doo 2: Monsters Unleashed" ซึ่งฉันได้แวะไปเยี่ยมเยียนพร้อมกับกลุ่มนักข่าวจำนวนหนึ่ง ในระหว่างการถ่ายทำเมื่อช่วงใบไม้ร่วงที่ผ่านมา การทำงานส่วนใหญ่นั้นถ่ายทำกันที่ซาวน์ดสเตจในแถบนอกเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา -- สถานที่ซึ่งมีอากาศเย็นเฉียบและเต็มไปด้วยทิวเขาสูงซึ่งมองเห็นได้จากระยะไกล ซึ่งนับว่าห่างไกลจากออสเตรเลียที่เคยใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกของ "Scooby-Doo" และฉันก็ได้รู้จากบรรดานักแสดงและทีมงานในกองถ่าย -- ซึ่งเกือบทุกคนเคยทำงานในเรื่องแรกกันมา - ว่าการเปลี่ยนสถานที่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ความเปลี่ยนแปลงที่คนดูควรหวังว่าจะได้เห็น
สิ่งที่ฉันได้รู้มาก็คือ "Scooby-Doo 2: Monsters Unleashed" จะเป็นหนังที่เพิ่มความมั่นใจมากขึ้นพร้อมกับความดึงดูดในมุมที่กว้างขึ้น มันมีการเดินเรื่องที่เร็ว และนำบรรดาผีปีศาจแห่งการ์ตูนดั้งเดิมกลับมาให้เห็น และฉันยังได้รู้อีกว่าตัวสกูบี้ เจ้าหมาเกรทเดนแอนิเมชั่น ซึ่งตะกุยตะกายเข้าสู่หัวใจของบรรดาแฟนๆ ทั่วโลกเองก็ได้มีการปรับปรุงเช่นกัน และอย่างที่ฉันได้มีโอกาสพบเห็นด้วยตนเอง หนังเรื่องที่สองนี้มีฉากใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นอยู่มากมายหลายฉากด้วยกัน
"คราวนี้เราตัดสินใจที่จะ…ทำให้มันออกมาเป็นหนังของครอบครัวเป็นพิศษ" แมทธิว ลิลลาร์ด กล่าว เขากลับมารับบทในหนังร่วมกับบรรดาเพื่อนดารา ซาราห์ มิเชล เกลลาร์, เฟรดดี้ ปรินซ์ จูเนียร์ และลินดา คาร์เดลลินี "และผมคิดว่าทางเลือกนี้ทำให้เราสามารถทำหนังที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากในเรื่องที่สอง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราทุกคนตื่นเต้น"
ชัค โรเวน หนึ่งในบรรดาผู้อำนวยการสร้างเห็นด้วย "การถ่ายทำเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก" โรเวนกล่าว เขาเป็นผู้ที่ริเริ่มความคิดในการทำภาพยนตร์สกูบี้ร่วมกันมากับริชาร์ด ซัคเคิล ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง เหตุผลของความซับซ้อนก็คือเพื่อให้มีเรื่องราวที่หลากหลาย ซึ่งเขาอธิบายว่า: "เรามีฉากภายในค่อนข้างเยอะในเรื่อง "Scooby-Doo" ตอนแรก มันเกิดขึ้นบนเกาะและเป็นธีมของเกาะ คราวนี้ในเรื่อง "Scooby-Doo 2" จะเกิดขึ้นในคูลสวิลล์ และบริเวณรอบๆ เราเลยมองหาอะไรที่ดูเป็นเมืองมากขึ้น"
ระหว่างการเยี่ยมกองถ่าย "Scooby 2: Monsters Unleashed" นั้น ฉันได้ไปเห็นฉากหลักจำนวนสี่ฉากที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการถ่ายทำ และนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลเคชั่นจำนวน 60 แห่งที่ถูกใช้ในหนังทั้งในและรอบๆ เมือง
หนึ่งในบรรดาฉากเหล่านั้นก็คือ Coolsonian Criminology Museum ซึ่งเป็นการแสดงถึงจุดสูงสุดในอาชีพการงานของแกงค์ ฉันได้ดูฉากไคลแมกซ์ที่สมาชิกของแกงค์ได้รับการยกย่องจากชาวเมืองในการเปิดงาน ซึ่งแสดงถึงการอุทิศตนเป็นผู้ไขความลึกลับทั้งปวง กล้องถ่ายรูปและนักข่าวเป็นตัวช่วยเสริมความตื่นเต้นให้กับบรรยากาศ ในขณะที่ตัวแสดงประกอบหลายคนในชุดทักซีโด้และชุดงานเลี้ยงค็อกเทลกระจายกันอยู่ทั่วห้อง ฉากนั้นถูกสร้างให้เหมือนภายในพิพิธภัณฑ์ที่มีพื้นเป็นหินอ่อนและเสาหินเรียงราย
สิ่งที่โดดเด่นของฉากนั้นก็คือมันประกอบไปด้วยบรรดาผีและปีศาจที่กลับมามีชีวิตใน "Scooby 2: Monsters Unleashed" ภายในตู้กระจกยักษ์หลายตู้ จัดแสดงหุ่นขนาดเท่าตัวจริงของเหล่าสัตว์ร้ายในการ์ตูนซึ่งถูกแกงค์จับตัวได้ และแฟนของ "Scooby-Doo" ก็จะจำหุ่นจากหนังการ์ตูนดั้งเดิมเหล่านั้นได้โดยทันที ซึ่งรวมถึงผีแบล็กไนท์ (Black Knight Ghost), ทาร์ มอนสเตอร์ (Tar Monster), ผีปเทโรแดคทิล (Pterodactyl Ghost) และผีหมื่นโวท์ (10,000 Volt Ghost)
"เรากระตือรือร้นที่จะนำองค์ประกอบที่คุ้นเคยกันมาในอดีตกลับมาใส่ในหนัง" กอสเนลบอกในระหว่างเวลาพักจากการถ่ายทำ "เราจึงทำหนังที่มีปีศาจรุ่นเดิมจากการ์ตูนกลับมามีชีวิต"
ในเนื้อเรื่อง ฉากนี้เป็นช่วงที่เหล่าผีและปีศาจจากการ์ตูนฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อแก้แค้นแกงค์ ฉันได้ดูการถ่ายทำหลายเทคในฉาก และผู้ช่วยผู้กำกับฯ ที่เป็นผู้ให้สัญญาณ และการต่อสู้ที่ได้รับการซักซ้อมมาเป็นอย่างดีก็เริ่มขึ้นพร้อมกับพวกตัวประกอบที่วิ่งหนีกันอย่างอลหม่านไปทุกทิศทุกทาง พร้อมทั้งกรีดร้อง แต่ฉันไม่ได้เห็นสิ่งที่พวกเขากำลังวิ่งหนี : ผีปเทโรแดคทิล, สัตว์ก่อนประวัติศาสตร์ที่มีกรงเล็บ จงอยปากและปีก ซึ่งฟื้นคืนชีพและวิ่งไล่แขกทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นโดยภาพจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งนำมาใส่ลงในภายหลัง ระหว่างการทำงานหลังการถ่ายทำ
แต่การแสดงในฉากกับตัวละครที่ไม่มีตัวตนเช่นนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่แต่อย่างใด อย่างน้อยที่สุด ตัวแสดงนำอย่างสกูบี้ก็จะถูกสร้างขึ้นด้วยดิจิตัลหลังการถ่ายทำ และนักแสดงทุกคนที่ฉันได้คุยด้วยก็ต้องแสดงในฉากกับมัน ลิลลาร์ดผู้รับบท แชกกี้ เพื่อนคู่หูที่ไม่เคยแยกจากกันของสกูบี้ดูนั้น เป็นคนที่มีพรสวรรค์นี้เป็นอย่างมาก นักแสดงหนุ่มต้องทำงานเกือบทุกฉากร่วมกับหมา CGI
"ฉันว่ามันเป็นเพราะแมตต์ - คุณจะไม่เคยเห็นใครที่ดีไปกว่าเมื่อเป็นการทำงานแบบนั้น" เกลลาร์ เพื่อนนักแสดงพูดถึงความสามารถของลิลลาร์ดในการทำงานกับองค์ประกอบ CGI เกลลาร์รับบทแดฟนี่ ได้เผยให้ฟังว่าระหว่างการถ่ายทำ บางทีลิลลาร์ดจะคอยเตือนเธอค่อยๆ ว่าสกูบี้ควรจะอยู่ตรงไหน แต่ดาราสาวกล่าวว่า "เราไม่เคยได้ยินใครต้องเตือนแมตต์เลย -- เรามักจะรู้สึกว่าแมตต์รู้อยู่เสมอว่ามีอะไรอยู่ข้างๆ เขา"
แต่ลิลลาร์ดยอมรับว่าการทำงานแบบนี้เป็น "ความท้าทายอย่างแท้จริง" ดาราหนุ่มผู้ที่ก่อนหน้านี้เคยแสดงในหนังสยองขวัญเรื่องฮิต "Scream" กล่าวว่า "การแสดงนั้นคือพลังระหว่างคนสองคน" การทำงานเข้าฉากกับสกูบี้นั้น "มันไม่มีอะไรที่ตอบโต้กลับมาเลย"
นักแสดงหนุ่มกล่าวว่าการทำงานครั้งที่สองนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่ทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็คทำกับตัวละครสกูบี้ดูในเรื่องแรก การได้รู้ว่าสกูบี้หน้าตาเป็นอย่างไร และเขาจะแสดงอย่างไร ลิลลาร์ดกล่าวว่า มันทำให้เขามั่นใจขึ้นเป็นอย่างมาก
สำหรับกอสเนล การไม่มีตัวแสดงหลักของเขาอยู่ในกองถ่าย ไม่ได้ทำให้ขาดความต่อเนื่องแต่อย่างใด ผู้กำกับฯ ผู้ที่เริ่มอาชีพด้วยการเป็นผู้ลำดับภาพและรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านในขั้นตอนการทำงานหลังการถ่ายทำกล่าวว่า เขายังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ในบางกรณีด้วยซ้ำไป
"เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติกับสกูบี้ เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น และเราสามารถตัดสินใจที่จะใส่เขาลงไปตรงไหนก็ได้อย่างที่เราต้องการ " กอสเนลกล่าว การตัดสินใจหลายต่อหลายครั้ง ยกเว้นท่าทางและจุดกำหนดพื้นฐานของสกูบี้ อย่างที่กอสเนลอธิบายว่า ถูกสร้างขึ้นหลังจากการถ่ายทำ "ในหนังเรื่องแรกเราใส่โจ๊คจำนวนมากของสกูบี้เข้าไประหว่างการทำงานหลังการถ่ายทำอย่างที่ไม่มีอยู่ในสคริปท์ และไม่เคยถูกออกแบบมาให้ใช้ในหนัง" กอสเนลยอมรับ "แต่เพราะว่าเราอยากได้โจ๊คแบบสกูบี้อีกเยอะๆ เราจึงต้องเสาะหาและพบตำแหน่งเหมาะๆ ที่เราจะใส่มันลงไป"
งานจำนวนมากของสกูบี้ในหนังเรื่องที่สองถูกทำในช่วงหลังการถ่ายทำ หลังจากที่หนังเรื่องแรกประสบความสำเร็จในระดับบ็อกซ์ออฟฟิศแล้วนั้น บริษัทวิชวลเอ็ฟเฟ็ค Rhythm and Hues ก็เริ่มทำงานด้วยเทคโนโลยีใหม่เพื่อพัฒนารูปแบบของตัวละคร ซึ่งเกี่ยวเนื่องถึงขนของสกูบี้ และรอยชื้นใต้ตาและปากของมัน แต่กอสเนลยังเน้นว่า "ในแง่ของการแสดงมันจะคงความเหมือนเดิมไว้ เป็นสกูบี้ดูที่เรารักและนั้นคือสกูบี้ดูที่จะอยู่ในหนัง"
ตัวละครของสกูบี้ดูอาจจะไม่ได้อยู่ที่กองถ่าย แต่ฉันก็ได้ยินเสียงที่จำได้ไม่พลาดในระหว่างการถ่ายทำ เสียงที่สร้างสรรค์โดยนีล แฟนนิ่ง นักแสดงชาวออสเตรเลียและแฟนตัวยงของสกูบี้ดู ที่ได้รับการคัดเลือกในหนังเรื่องแรกจากบรรดาผู้ตั้งความหวังหลายร้อยคนในออสเตรเลีย ในตอนแรกดาราผู้นี้ถูกกำหนดไว้ให้เป็นตัวแสดงแทนในระหว่างการถ่ายทำ ผู้อำนวยการสร้างซัคเคิลบอกว่าเวลาที่เขาและผู้กำกับฯ เฝ้าดูการทำงานในแต่ละวัน พวกเขามักจะหัวเราะกับบทพูดของแฟนนิ่ง และในที่สุดก็ตกลงใจให้เขาเป็นคนให้เสียงในหนัง
อีกหนึ่งสมาชิกคนสำคัญของกองถ่ายที่ฉันได้พบก็คือ ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ บิล โบส์ ที่รับผิดชอบการสร้างโลกให้กับตัวละครทั้งหลาย ในวันที่ฉันไปเยี่ยมนั้น โบส์และทีมงานกำลังตกแต่งขั้นสุดท้ายให้กับฉากรังปีศาจ (Monster Hive) ด้วยการใส่ต้นมอสปลอมและโคลนเลนที่ทำจากกาวร้อนไปบนกำแพงและโครงของงานสร้างของพวกเขาที่ดูเหมือนถ้ำของปีศาจร้าย
รังปีศาจนั้นถูกออกแบบให้เป็นยานโลหะลำใหญ่ที่บรรดาผีร้ายจะมาซ่องสุมกันเพื่อวางแผนการแแก้แค้น ฉากอันมโหฬารนี้เป็นตัวอย่างที่น่าประทับใจสำหรับผลงานที่หลากหลาย อันมาจากฝีมือของโบส์ที่เห็นได้ในซาวน์ดสเตจที่แวนคูเวอร์ ซึ่งยังใช้เป็นที่สร้างบ้านผีสิงริคเคิลส์แมนชั่น (Rickles Mansion) และที่ตั้งของกองบัญชาการแห่งมิสตรี้ อิงค์ (Mystery Inc.) อันแสนทันสมัยอีกด้วย
ซึ่งโบส์กล่าวถึงงานเหล่านั้นว่า "ฉากที่ยากที่สุดสำหรับผมก็คือกองบัญชาการของมิสตรี้ อิงค์ เพราะว่ามันไม่เหมือนอะไรอื่นที่ผมเคยทำมาก่อน มันเป็นคาแรคเตอร์หนึ่งในหนังเลยทีเดียว"
ตรงข้ามกับรังปีศาจ ฉากนี้เป็นห้องที่มีสีสันสดใสซึ่งประดับประดาไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นทั้งบ้านและที่ทำงานของแกงค์ ก่อนเรื่อง "Scooby-Doo" โบส์เคยทำงานในหนังสยองขวัญและแอนิเมชั่นอย่าง "Sleepy Hollow" "Monkeybone" และ "Nightmare on Elm Street" และเล่าว่าเขาสนุกสนานกับการหมกมุ่นกับการแต่งฉากให้ดูสมัยใหม่ โดยดูจากแมกกาซีนอย่าง Wallpaper เพื่อหาแรงบันดาลใจ
ในการออกแบบกองบัญชาการโบส์ยังเน้นถึงความเป็น "บุคลิก" ที่ต่างกันในส่วนที่จะบ่งถึงความเป็นตัวละครแต่ละตัว "เราต้องเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชนิด, สี, วัสดุ และการตกแต่ง" เขาบอก "และมันบอกถึงความเป็นตัวตนของคนนั้นๆ เป็นอย่างมาก"
ผู้ออกแบบจัดให้เฟรดมีพื้นที่ประชุมเป็นวงกลมตรงกึ่งกลางของฉาก เพราะเขาเป็นศูนย์กลางของแกงค์และรวมกลุ่มพวกเขาไว้ด้วยกัน แดฟนีมีพื้นที่พักผ่อนที่ตกแต่งด้วยสีม่วง ซึ่งเป็นสีสัญญลักขณ์ของเธอ แชกกี้และสกูบี้ ซึ่งมีมุขพื้นฐานของการกินตลอดเวลา ได้พื้นที่ตรงห้องครัวและที่นอนเอกเขนก ในขณะที่เวลม่า ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์มีห้องแล็บสีส้ม
เมื่อเราเดินผ่านฉากนี้สิ่งที่เด่นสะดุดตาก็คือสีที่เข้มข้นและความสนใจในรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น ห้องแล็บที่เต็มไปด้วยหลอดทดลองจำนวนมากและอุปกรณ์ที่มีหลายรูปทรงและขนาด ที่บรรจุของเหลวเป็นสี, ชิ้นส่วนกระดูก และแผนภูมิ อุปกรณ์บางชิ้นนั้นโบส์กล่าวว่า จัดทำขึ้นมาโดยทีมงานของเขา อย่างเช่น "เครื่องมือทดสอบ DNA" ในขณะที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ของจริงถูกเช่ามาใช้ในหนัง
"คนของผมหลายคนบอกว่ามันเป็นรายการโปรดของพวกเขา เพราะมันมีฉากที่ต่างกันเป็นจำนวนมากและนั่นเป็นความรู้สึกทั่วไปของทั้งหมด" โบส์ยอมรับ แผนกฉากมีคนทำงานที่เป็นทีมในบังคับบัญชาของโบส์จำนวน 20 คน นอกเหนือจากช่างไม้ ช่างปูน ช่างแกะสลัก และช่างเชื่อม 150 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นทีมงานชาวบริติชโคลัมเบีย ยกเว้นผู้กำกับศิลป์
บรรดานักแสดงก็ยังประทับใจกับฉาก "ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำให้ดีกว่าเรื่องแรก" ปรินซ์พูดถึงงานของโบส์ "วิคเคิลส์ แมนชั่นเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับผม มันเป็นเหมือนบ้านผีสิงชั้นเยี่ยมของดิสนีย์"
ฉากนี้ถูกออกแบบให้ใช้สีแดงและน้ำตาลเข้ม เมื่อเดินไปรอบๆ ฉันสังเกตุเห็นรูปหัวสัตว์ประหลาดและราวบันได ภาพวาดที่ดูเหมือนของโบราณ หนังสือเก่าๆ อาวุธของอัศวินที่ใหญ่เกินจริง และผงฝุ่นกับใยแมงมุมปลอมจำนวนมากที่ทำให้รู้สึกเป็นบ้านผีสิงโดยสมบูรณ์ และนั่นเป็นวันท้ายๆ ของการถ่ายทำในฉากนี้
และฉันยังได้ค้นพบในระหว่างการสนทนา ว่าฉากเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบในหนังที่เปลี่ยนไป ตัวละครเองก็เติบโตขึ้นและมีความขัดแย้งใหม่ๆ ในสคริปท์ของเจมส์ กันน์
"สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือเราต้องใส่ความเป็นมนุษย์ลงไปในตัวละคร" ผู้กำกับฯ กอสเนลกล่าว "เราต้องใส่อารมณ์และสถานการณ์จริงของความเป็นคนเข้าไป และเราทำงานหนักมากในหนังเรื่องนี้เพื่อทำอย่างนั้นให้กับตัวละครแต่ละตัว"
ปรินซ์ จูเนียร์ซึ่งรับบท เฟรด หัวหน้าแกงค์เห็นด้วย : "หนังเรื่องนี้ต่างจากเรื่องแรกมากจริงๆ" มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้แต่ละตัวละครผ่านความเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่สอง เขาอธิบาย
ในเรื่องแชกกี้และสกูบี้ต้องเผชิญวิกฤติแห่งความมั่นใจ เพราะพวกเขามักจะตกที่นั่งลำบากอยู่เสมอ อย่างที่ลิลลาร์ดอธิบายว่า "พวกเขายอมรับมันตั้งแต่ฉากแรกในตอนต้นเรื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของแกงค์"
เฟรด ในทางตรงกันข้าม "เป็นหน้าเป็นตาของทีม" อย่างที่ปรินซ์กล่าว "เขาเชื่ออย่างจริงจังว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เขาจะต้องเป็นผู้ทำให้ทุกอย่างไม่ผิดพลาด แม้กระทั่งเมื่อมันผิดพลาดไปอย่างมากๆ แล้วก็ตาม" ในตอนจบของเรื่องก็เช่นกัน ตัวละครของเขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลง โดยสำนึกที่ว่า "ไม่เป็นไรที่จะเป็นตัวของตัวเอง และยอมรับเมื่อต้องการความช่วยเหลือ"
ตัวละครแดฟนี่ต้องเผชิญกับภาพลักษณ์ในสายตาสาธารณชน อย่างที่เกลลาร์เล่าว่า ในตอนต้นเรื่องแดฟนีก็เป็นเช่นเดียวกับเฟรดที่ปลื้มไปกับแสงสี จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของคูลสวิลล์ทำให้เธอยึดติด เมื่อพล็อตถูกเปิดเผย ตัวละครของเธอเองก็ได้สำนึกว่า "มันสำคัญที่จะยอมรับตัวเอง และภาพลักษณ์ไม่ได้สำคัญเท่ากับสิ่งที่เธอคิดเอาไว้ในตอนต้น"
เกลลาร์มาถึงกองถ่ายที่แวนคูเวอร์หนึ่งวันหลังจากที่เธอเดินออกมากับการทำงานเป็นปีที่เจ็ดในซีรีส์โทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล "Buffy the Vampire Slayer" นักแสดงสาว ที่บอกว่าเพื่อนดาราของเธอเป็นเหมือนครอบครัว -- และในกรณีของปรินซ์ ซึ่งเป็นสามีในชีวิตจริงของเธอ คำพูดนี้นับว่าจริงที่สุด -- กล่าวว่าการมาร่วมงานกับ "Scooby-Doo 2: Monsters Unleashed" เป็นอะไรที่แตกต่างอย่างมาก "ฉันคิดว่าถ้าฉันไปทำอะไรอย่างอื่น ฉันคงเสียคนแน่ๆ" เธอพูดเสริม
จากความเดิมตอนที่แล้ว เวลม่า ซึ่งในการ์ตูนเป็นสมาชิกที่ขี้อาย แต่มีสมองปราดเปรื่องก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เธอมีความมั่นใจเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น "ในทุกเรื่องยกเว้นเรื่องเดียว - "การเข้าสังคมกับเพศตรงข้าม" คาร์เดลลินี่กล่าว ในหนังเรื่องที่สองนี้ เวลม่ามีความรัก และในทางตรงกันข้าม เธอพยายามต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมดาราคนอื่นๆ คาร์เดลลินีอธิบายว่าสิ่งที่ดึงดูดเธอมากที่สุดในการทำงานหนังเรื่องที่สองก็คือความเปลี่ยนแปลงนี้ : "ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับฉัน ที่ตัวละครโตขึ้นจากหนังเรื่องแรกสู่เรื่องที่สอง"
และท้ายสุดที่เติมเต็มให้กับหนังเรื่อง "Scooby-Doo 2: Monsters Unleashed" คือการที่ทีมผู้สร้างได้ขยายความให้กับหนังและการรักษาไว้ซึ่งความน่าเห็นอกเห็นใจของตัวละคร
อย่างที่กอสเนลบอกว่าเรื่องแรกถูกออกแบบสำหรับ "ผู้ชมประเภทฮิพ" และมีโจ๊คที่ซ่อนอยู่ ในแบบที่คอย "ขยิบตาให้กับกล้อง" อย่างที่จะสร้างความพอใจให้กับคนดูอายุมากกว่า ซึ่งโตมาพร้อมกับการ์ตูน
"คราวนี้เราก็ยังเก็บองค์ประกอบพวกนี้ไว้" กอสเนลกล่าว "แต่เราอยากให้เป็นเนื้อเรื่องที่เข้าถึงได้ โดยที่ในแกงค์ไม่ต้องทะเลาะกันเอง" แต่แทนที่จะต้องเผชิญกับความรู้สึกไม่มั่นคงและความไม่แน่ใจ -- เป็นอารมณ์ซึ่งกอสเนลหวังว่าผู้ชมแต่ละคนจะสื่อได้จากจอภาพยนตร์
เมื่อวันของฉันที่กองถ่ายจบลงนั้น เด็กน้อยในตัวของฉันก็ถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นมา และเฝ้ารอคอยอย่างเต็มเปี่ยมที่จะได้พบกับการผจญภัยครั้งต่อไปของเจ้าหมาเกรทเดนตัวนั้น--จบ--
-รก-

แท็ก ภาพยนตร์   ICT  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ