กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--ก.ล.ต.
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมประจำเดือนธันวาคม 2554 เห็นชอบในหลักการอนุญาตให้มีการเสนอขายตราสารการลงทุนประเภท CIS (Collective Investment Scheme) ต่างประเทศให้แก่ผู้ลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อยได้ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ปี 2553-2555 ของ ก.ล.ต. ในการเชื่อมโยงตลาดทุนไทยกับตลาดทุนต่างประเทศ สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการสู่การรวมตลาดของ ก.ล.ต. อาเซียน (ASEAN Capital Markets Forum: ACMF) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community)
CIS ต่างประเทศที่จะสามารถเสนอขายแก่ผู้ลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อยในประเทศไทยดังกล่าวเป็นตราสารที่มีลักษณะเช่นเดียวกับหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไทย แต่อาจอยู่ในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่หน่วยลงทุน เช่น หุ้น ใบทรัสต์ เป็นต้น โดยจะต้องบริหารจัดการโดยบริษัทจัดการที่ได้รับอนุญาตหรือจดทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เป็นสมาชิกขององค์กร ก.ล.ต. นานาชาติ (International Organizationof Securities Commission: IOSCO) และลงนามใน IOSCO MMOU signatory A ซึ่งเป็นข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการกำกับดูแล นอกจากนี้ CIS ต่างประเทศต้องมีการลงทุนที่ไม่ซับซ้อนไปกว่าที่กองทุนรวมไทยสามารถกระทำได้ รวมทั้งต้องมีตัวแทนในประเทศไทยเพื่อติดต่อประสานงานและอำนวยความสะดวก
“ในยุคตลาดทุนไร้พรมแดนและการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตลาดทุนไทยต้องพร้อมที่จะเปิดรับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำมาทั้งโอกาสทางธุรกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมไปกับการแข่งขันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก.ล.ต. ในฐานะผู้กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนไทยจึงดำเนินการเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ภาคธุรกิจในตลาดทุนและผู้ลงทุนมีเวลาศึกษา เรียนรู้ และปรับตัว
CIS ต่างประเทศนับเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาการลงทุนในต่างประเทศ พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. คาดหวังว่าบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนของไทยจะได้เรียนรู้การจัดตั้งและการจัดการ CIS ของต่างประเทศเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจของไทยต่อไป” นายวรพล กล่าว
ภายใต้กรอบ ASEAN Capital Markets Forum หรือ ACMF ประเทศสมาชิกอาเซียนจะให้มีการเสนอขายCIS ข้ามประเทศภายในปี 2555 โดยเริ่มขายให้แก่ผู้ลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อยก่อนภายในครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นผู้ลงทุนที่สามารถดูแลและปกป้องผลประโยชน์ของตนได้ และมีความพร้อมในการประเมินความเสี่ยงในการลงทุน จากนั้นจึงจะขยายให้ครอบคลุมไปถึงการเสนอขายแก่ผู้ลงทุนรายย่อยในลำดับถัดไป