กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์
คำบรรยายใต้ภาพ: มร.อเล็กซ์ กอร์ดี้ (ผู้จัดการกองบรรณาธิการ), นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และ มิส แอนเน่ ชลาเกล ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศของโอบีจีประจำประเทศไทย
การเตรียมความพร้อมในการดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่ในช่วงการพัฒนาให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลยิ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กล่าว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กล่าวกับบริษัทอ๊อกฟอร์ดบิสสิเนส กรุ๊ป หรือ โอบีจี ซึ่งเป็นบริษัทจัดพิมพ์รายงานการวิจัย และให้คำปรึกษาแก่นานาประเทศทั่วโลกว่า การปรับเปลี่ยนมาตรการจูงใจการการลงทุนในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการจัดสรรระบบภาษี
"การลดสิทธิประโยชน์ทางด้านการจัดเก็บภาษี (distortive tax) ให้มีการสอดคล้องกับการลดอัตราภาษี"รายได้ทางธุรกิจ” พร้อมกล่าวเสริมว่า "การกระทำเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงหลักการภาษีในการลดอัตราภาษีและเป็นการขยายฐานนักลงทุน"
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีนโยบายใหม่ จะช่วยให้ประเทศไทยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน( ASEAN Economic Community: AEC) และช่วยส่งเสริมศักยภาพของประเทศในการดึงดูดการลงทุนให้เพิ่มสูงขึ้น พร้อมกล่าวเสริมว่า การเตรียมพร้อมครั้งนี้ที่จะมุ่งเน้นในเรื่องการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ให้เพิ่มสูงขึ้น
"โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ในปี 2012 และเป็น 20% ในปี 2013" นายธีระชัยกล่าว "รัฐบาลยังวางแผนที่จะจัดตั้งกองทุนสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจในมหาวิทยาลัยและส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่นระบบขนส่งมวลชนและระบบชลประทาน."
บทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล จะปรากฏในรายงาน : ประเทศไทยปี 2012 รายงานล่าสุดของโอบีจี ซึ่งเป็นคู่มือเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ และโอกาสในการลงทุน จัดทำร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รายงานที่สามของโอบีจีในประเทศไทยรายงานฉบับดังกล่าวยังนำเสนอรายละเอียดเป็นหมวดหมู่ให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ ประกอบกับบทสัมภาษณ์ของผู้นำที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมือง เศรษฐกิจ และธุรกิจ รวมถึงบทสัมภาษณ์ นายประสาร ไตรรัตวรกูล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีบทวิเคราะห์สำคัญเกี่ยวกับความพยายามในการฟื้นฟูประเทศไทยหลังวิกฤตการณ์น้ำท่วม
นายธีระชัย พร้อมเน้นถึงการปฏิรูปที่นำมาใช้ในภาคการธนาคารของประเทศไทย ว่าจะช่วยลดความหนาแน่นของตลาดและดึงให้ธนาคารรัฐกลับเข้าสู่แนวทางเดิมของตนเอง
“สถาบันการเงินของรัฐหลายแห่งมีความคาบเกี่ยวโดยมีรูปแบบคล้ายธนาคารพาณิชย์มากขึ้นทุกที และพยายามที่จะให้บริการทางตลาด ซึ่งคลาดเคลื่อนไปจากกลุ่มเป้าหมายที่สถาบันตั้งไว้" พร้อมกล่าวเสริมว่า "ผมอยากจะยั้งความคลาดเคลื่อนครั้งนี้ไว้ก่อน และอยากให้สถาบันการเงินของรัฐ นำมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (Financial Reporting Standards: IFRS) และนำผู้สอบบัญชีภายนอกที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการเพื่อจัดทำบัญชี (Security and Exchange Commission: SEC) เข้ามาร่วมดำเนินการด้วย"
คุณธีระชัยหวังว่าปี 2012 จะเป็นปีที่ ตลาดทุนของประเทศมีบทบาทมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมเพื่อแนะนำแหล่งการจัดหาเงินทุนแหล่งอื่น ๆนอกเหนือจากธนาคาร
"ในปี 2012, ค่าประกันเงินฝากธนาคารได้ถูกกำหนดขึ้นใหม่ และจะทำให้ผู้ฝากได้รับเงินประกันลดลง” คุณธีระชัยกล่าวเสริมว่า “เราคิดและหวังว่าการกระทำเช่นนี้จะมีผลผลักดันให้ผู้ฝากอาจได้รับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และผู้ฝากต้องพิจารณาถี่ถ้วนขึ้นเมื่อเงินประกันลดลง”
นายธีระชัยตระหนักถึงความเสียหายในประเทศไทยที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปี 2011 ซึ่งประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 4% ปรับลงไป 1.7%
พร้อมกล่าวเสริมว่า คณะรัฐมนตรีได้กำหนดงบการลงทุน 600พันล้านบาท ที่จะช่วยฟื้นฟูขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการวางระบบโครงสร้างการบริหารน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติคล้ายกับที่เกิดขึ้น
รายงาน : ประเทศไทยปี 2012 ทำการจัดพิมพ์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ: BOI) รวมทั้งร่วมจัดทำรายงานกับบริษัทติลลิกี่แอนด์กิบบินส์ บริษัทรับจัดทำและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการบัญชีบีดีโอ และบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน)
รายงานที่จะเกิดขึ้นของโอบีจี ได้เตรียมพร้อมและทำการวิจัยในประเทศมากกว่าเก้าเดือน โดยทีมงานของนักวิเคราะห์จากโอบีจี รายงานฉบับนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเป็นแนวทางที่สำคัญในหลายแง่มุมของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจมหภาค โครงสร้างพื้นฐาน การธนาคารและการพัฒนาภาคการผลิต นอกจากนี้ยังนำเสนอรายละเอียดเป็นหมวดหมู่ให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ ประกอบกับบทสัมภาษณ์ของผู้นำที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมือง เศรษฐกิจ และธุรกิจ โดยรายงานฉบับนี้มีทั้งรูปแบบตีพิมพ์และออนไลน์
เกี่ยวกับบริษัทอ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป
บริษัทอ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป (OBG: Oxford Business Group) เป็นบริษัททำรายงานวิจัย จัดพิมพ์ และเป็นบริษัทที่ปรึกษาในระดับโลก โดยเป็นผู้ตีพิมพ์รายงานทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกาผลงานจะเผยแพร่ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์และผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทุกประเด็นและมีความถูกต้องในทุกสถานการณ์สำคัญ เศรษฐกิจมหภาค และการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น ภาคธนาคาร ตลาดทุน ประกันภัย พลังงาน การคมนาคม อุตสาหกรรม และการสื่อสาร สำหรับรายงาน: ประเทศไทยปี 2012 (The Report: Thailand 2012) รายงานฉบับนี้จะทำการจัดพิมพ์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ), บีดีโอ และ บริษัทติลลิกี่ แอนด์ กิบบินส์
เนื้อหารายงานที่อ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป ได้วิเคราะห์ทั้งประเด็นเศรษฐกิจและธุรกิจ ได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคที่อ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป ได้เข้าไปดำเนินการวิจัย ทั้งนี้บริษัทได้จัดทำบทสรุปออนไลน์ทางด้านเศรษฐกิจที่เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์หรือประเด็นใหม่ๆในเชิงลึกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเผยแพร่ให้กับสมาชิกจำนวนหลายหมื่นคนจากทั่วโลก ส่วนงานที่ให้บริการด้านที่ปรึกษานั้น ทางบริษัท อ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป ได้เสนอการวิเคราะห์ด้านการตลาดพร้อมให้คำปรึกษาและช่วยแนะนำลูกค้าให้เข้าใจถึงกระบวนการทำงานจนถึงการดำเนินธุรกิจในตลาดที่ลูกค้าต้องการได้อีกด้วย