กรุงเทพฯ--27 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้ตุ๊กกี้รับบทเป็น “อภัสรา” เป็นพี่สาวคนละพ่อคนละแม่กับน้องเรณูเลยค่ะ แต่ก็มีเหตุบังเอิญให้ต้องมาอยู่ด้วยกัน ในคาแร็คเตอร์อภัสราจะเป็นผู้หญิงคล้ายจะเป็นเด็กกะโปโล แต่ก็ไม่กะโปโล เค้าจะมีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วก็สร้างความมั่นใจให้กับเรณูด้วยค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบความสำเร็จด้านความรักของเรณูมาจากพี่อภัสรานี่ล่ะค่ะ
เปลี่ยนลุคไปอีกแบบ
ตุ๊กกี้เล่นหนังมาประมาณ 17 เรื่อง เรื่องนี้เปลี่ยนลุคไปอีกแบบ มันจะสวยก็ไม่สวย มันขาดๆ เกินๆ ยังไงไม่รู้ จริงๆ เรื่องนี้ ขอพี่บิณฑ์เล่นเองด้วย กะว่าพี่บิณฑ์จะปั้นเต็มที่เลย ปรากฏว่าตั้งแต่เห็นชุดนี่ล่ะค่ะ ผมมันก็มา หน้ามันก็มา ทุกอย่างมันก็มา เป็นอย่างงี้ล่ะค่ะ (ผมม้า ชุดนักบอล กางเกงบอลยกสูงถึงอก รองเท้าแตะ) โถ่เอ๊ย เจ้าหญิงตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบนะคะ ไปๆ มาๆ เมื่อได้ร่วมกับน้องปัญญา น้องเรณูก็ออกมาเป็นชุดนี้ล่ะค่ะ เป็นคนที่บ้านักกีฬามาก บ้าฟุตบอลมาก เลยแต่งชุดอย่างงี้ แต่ไม่ใช่ทอมนะคะ เป็นผู้หญิงห้าวๆ ค่ะ ในเรื่องตุ๊กกี้ก็จะกำพร้าพ่อแม่ อยู่กับคุณป้าค่ะ ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกับน้องเรณู แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อยู่ในคณะโปงลางกับน้องๆ เค้า แต่พอเค้าไปทางไหน เราก็ไปทางนั้น ไปๆ มาๆ ก็ได้มาอยู่ในวงกะเค้าด้วยซะงั้นค่ะ
เรื่องราวของ “ปัญญาเรณู 2”
ในเรื่อง “ปัญญาเรณู 2” ก็เป็นเรื่องต่อเนื่องจากภาคแรก เป็นเรื่องรักของเด็กภาคอีสาน ปัญญากะเรณู เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตของเด็กอีสาน เป็นกลเม็ดเด็ดพรายเรื่องความรักใสๆ แบบเด็กๆ ค่ะ ภาค 2 นี้ ตุ๊กกี้ กะพี่หม่ำจะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญที่เพิ่มสีสันในภาคนี้ พี่อภัสราที่ตุ๊กกี้รับบทก็จะเป็นฝ่ายน้องเรณู ส่วนพี่หม่ำเนี่ยอยู่ฝ่ายเดียวกับปัญญา สองคนนี้ก็จะเป็นคนที่คอยผลักดันให้ปัญญา และเรณูได้มีความรักต่อกัน ในภาค 2 นี้ก็จะเป็นการใช้ชีวิตในการทำวงดนตรีให้มีความสำเร็จมากขึ้น เพราะเหมือนกับว่าก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในการประกวดวงดนตรี มีความยากง่ายมากขึ้น ต้องเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ ต้องแข่งขันกับวงของน้องเบนซ์ จูเนียร์ ที่มีความเก่งและพร้อมกว่าในเรื่องร้องเพลง จะชนะหรือไม่ เหล่าหลวงพ่อก็ยังมีความสำคัญในภาคนี้ พี่หม่ำกับตุ๊กกี้จะช่วยปัญญากะเรณูยังไง และอื่นๆ อีกเยอะแยะ ต้องติดตามชมกันในภาคสองนี้ค่ะ
ความประทับใจที่มีต่อ “ปัญญาเรณู”
จริงๆ เรื่อง “ปัญญาเรณู ภาคแรก” ตุ๊กกี้ก็ดูมาสองรอบ ไม่ว่าจะหนัง, ละคร รายการอะไรที่เกี่ยวพันกับภาคอีสาน ตุ๊กกี้ก็จะอินและเต็มที่มาก ในภาคสองนี้ ตุ๊กกี้ก็ขอเล่นเองซึ่งไม่ขอเคยขอเล่นเรื่องไหนมาก่อนเลย เรื่องนี้ขอพี่บิณฑ์เล่นเองเลย เพราะว่าตุ๊กกี้เป็นแฟนคลับปัญญาเรณู ปลื้มทั้งตัวละคร, ปลื้มทั้งบรรยากาศภาคอีสาน ที่สำคัญก็คือทำอะไรก็ตามที่บ่งบอกพื้นเพกำเนิดของตุ๊กกี้ก็คือภาคอีสานนี่ล่ะค่ะ ประทับใจทุกซีน ได้เล่นเรื่องปัญญาเรณูถือเป็นความประทับใจที่สุดแล้ว ขอเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ก็เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่แล้ว ขอบคุณพี่บิณฑ์แล้วก็ทีมงานทุกคนที่ให้โอกาสตุ๊กกี้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้อย่างเต็มที่ค่ะ
เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นอย่างไรบ้าง
จริงๆ บท “อภัสรา” ที่พี่บิณฑ์ผู้กำกับวางไว้นะคะ ซึ่งพี่บิณฑ์เก่งมากในการย่ออายุตุ๊กกี้ เด็กๆ นี่ไม่เกิน ม.3 ซักคน มากสุดก็ไอ้จอบ ม.3 นอกนั้นก็ไม่เกิน ม.3 อย่างเรณูก็ ป.4 ปัญญาก็ประมาณ ม.1 ขึ้น ม.2 พี่ตุ๊กกี้อายุ 32 แล้ว แต่ ณ เวลานี้เข้าฉากกับน้องๆ แล้วกลมกลืนกันมาก ณ จุดๆ นี้ไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน ถ้าเป็นเด็กในชิงร้อยฯ ก็เป็นเด็กปัญญาอ่อนไปเลย ไม่ใช่เด็กแบบนี้ บอกได้เลยว่า คาแร็คเตอร์แบบนี้ไม่เคยเล่นเรื่องไหนมาก่อน เป็นหนังพี่บิณฑ์เค้าวางมุกไว้ เวลาที่พี่ตุ๊กกี้เล่น ผู้กำกับจะไว้ใจความเป็นตุ๊กกี้มาก ด้วยอายุในการทำงานและประสบการณ์ในการแสดง ก็จะให้ใส่เต็มที่เล่นเต็มร้อย ได้ไม่ได้ไปตัดต่อเอง แต่เรื่องนี้พี่บิณฑ์ก็จะให้เล่นในความเป็นอภัสรามาซัก 90 แล้วเอาความเป็นตุ๊กกี้ชิงร้อยมาแค่ 10% ซึ่งทำให้ตุ๊กกี้คิดว่าเมื่อรวมกันแล้วโอเคมาก เพราะว่าหนึ่งบทบาทที่เราท่องหรือแสดงออกมาก็จะรู้ถึงความเป็นอภัสรามากขึ้น ซึ่งแต่ละเรื่องจะเป็นตุ๊กกี้ดำเนินการแสดงเองซะส่วนมาก ใช้ความเป็นตุ๊กกี้เล่นซะมากที่สุด แต่ในเรื่องนี้แค่ 10% ใช้ความเป็นตุ๊กกี้พร้อมกับอีก 90% ที่พี่บิณฑ์วางไว้ มันรวมกันแล้วก็ถือว่ามันลงตัว เป็นความฮาแบบอมยิ้ม นึกถึงเมื่อไหร่ได้ยิ้มกันแน่นอนค่ะ
นอกจากจะมีเรณูเป็นคู่หูแล้ว ยังมีเพื่อนรู้ใจอีกหนึ่งด้วย
ค่ะ ในเรื่องนี้เปิดฉากพี่อภัสราได้เด็ดดวงมากค่ะ คือตั้งแต่เล่นหนังมาเนี่ย คนที่เข้าคู่ร่วมแจมกะตุ๊กกี้เนี่ยล้วนแล้วมีชื่อเสียงค่ะ แต่บุคคล เอ๊ะ...แต่จะเรียกว่าคนก็ไม่แน่ใจค่ะ คือสิ่งๆ นี้เค้ามีเขาค่ะ เค้าตัวใหญ่มาก เพราะแขกรับเชิญคนนี้เค้ามีความสำคัญกับพี่อภัสรามาก เค้าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่เคียงข้างกันมา นั่นก็คือ บัฟฟาโล่หรือว่าควายนั่นเองค่ะ ก็คือควายตัวนี้เป็นฉากเปิดตัวในตลาดควายที่ใหญ่มากของ จ.อุบลนี้ ควายนับพันชีวิตในตลาดแห่งนี้ และเป็นซีนที่คุณป้าจะขายควายของอาภัสรา เป็นซีนอารมณ์ บอกได้คำเดียวว่าตุ๊กกี้ไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายเสียของรักมากขนาดนี้เลยค่ะ ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจเพื่อปัญญาเรณูภาค 2 นี้แหละค่ะ
การร่วมงานกับทีมนักแสดง
พูดถึงนักแสดงทั้งหมดนะคะ ด้วยพี่ตุ๊กกี้เป็นคนที่ครูพักลักจำมาว่า สัตว์เด็กเอฟเฟ็คต์สลิงคือจุดบอดในการทำภาพยนตร์ และในการทำงานต่างๆ นานา แต่จะบอกว่าใช้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ถามว่าเอาอย่างแรกอย่างสัตว์ คือควายที่ชื่อ นวลที่เข้าฉากกับตุ๊กกี้ เป็นเพื่อนรักกัน เป็นฉากที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา บอกได้คำเดียวเลยว่า นวลในเรื่องนี้คือควายที่พี่บิณฑ์ซื้อที่วารินชำราบ ซื้อเอง เลี้ยงเอง แล้วเค้าเชื่องมาก หนึ่งนี่คือรางวัลสำหรับตุ๊กกี้
ต่อมาเด็กในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำขิง, ทิว, จอบ, หยก, แหว่ง, กี, มิว ทั้งหมดในภาพยนตร์เรื่องนี้ เด็กๆ เค้าผ่านการแสดงมาโดยภาคแรกเค้าเลี้ยงดูปูเสื่อกันมาแบบครอบครัว เราไม่ได้วางว่าคนนี้คือพระเอก คนนี้คือนางเอก เมื่อได้ร่วมงานกันเราก็ดูแลกันแบบพี่น้อง น้องๆ ที่นี่เค้าจะมีสัมมาคารวะ พูดง่าย แล้วก็จะรู้ว่าตุ๊กกี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่คือบทบาทที่ได้รับเท่านั้น พอหมดซีนไปความเป็นพี่น้องระหว่างเราก็น่ารักมาก
บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ประทับใจทีมงานทุกคน การอยู่กันเป็นครอบครัว ทำให้การทำงาน ผ่านไปได้ด้วยดี แล้วก็ไม่มีจุดบกพร่องใดๆ จะมีก็แต่เรื่องการเดินทางที่ค่อนข้างไกลระหว่างกรุงเทพกับอุบลฯ นอกนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ
การกำกับและการร่วมงานกับผู้กำกับบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์
การกำกับของพี่ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ฝีมือจากภาคแรกก็ทำให้ไว้เนื้อเชื่อใจได้ค่ะ มิฉะนั้นตุ๊กกี้ไม่สมัครมาเล่นเองหรอกค่ะ แล้วก็ด้วยบทบาท และความเชื่อใจของตุ๊กกี้กับพี่บิณฑ์ พี่บิณฑ์เชื่อใจตุ๊กกี้ในเรื่องการแสดง ตุ๊กกี้ก็เชื่อในความเป็นผู้กำกับของพี่บิณฑ์ค่ะ ในเมื่อเราจะร่วมมือลงขัน ลงมือทำในสิ่งๆ เดียวกัน เรามีใจเหมือนกันค่ะ แล้วก็ภูมิใจในความเป็นลูกอีสาน วัฒนธรรมของอีสาน ฉะนั้นแล้วทุกอย่างก็เลยดำเนินออกมาด้วยใจเต็มร้อย ต่างคนมีใจให้กัน ใจกับใจ ทุกอย่างเลยออกมาร้อยเปอร์เซนต์ค่ะ
เรื่องนี้ได้โชว์ลูกคอร้องเพลงด้วย
ใช่ค่ะ เป็นฉากซักผ้าตรงท่าน้ำ แล้วก็มีการพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกัน ฉากนี้ก็เป็นฉากใหญ่ฉากหนึ่งที่อภัสรากับน้องเรณูต้องร่วมร้องเพลงร่วมกัน เพลง “กะละมัง” ค่ะ ระหว่างตุ๊กกี้กะน้องน้ำขิงค่ะ เป็นบทเพลงที่ 2 ตั้งแต่เล่นภาพยนตร์มาแล้วได้ร้องเองนะคะ ก็ดีใจมากนะคะ มันสำคัญตรงที่ว่า แดนเซอร์หรือหางเครื่องร่วมร้อยชีวิตค่ะ ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นเราจะไปถ่ายที่สตูดิโอแคบๆ ไม่ได้ค่ะ คุณบิณฑ์และทีมงานก็เลยยกมาถ่ายที่อุบลฯ ให้เห็นสระน้ำ ทุ่งนา ป่าไม้ ธรรมชาติของภาคอีสานให้เห็นกันเลยค่ะว่าอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน วันนี้ก็ถือว่าเต็มที่ค่ะ ครึ่งวันของการถ่ายทำฉากนี้ ต้องติดตามว่าจะยิ่งใหญ่อลังการ สนุกสนานมากน้อยแค่ไหนค่ะ
ฉากนี้มันเป็นฉากที่อภัสราต้องฝากตัวกับน้องเรณู เพราะทั้งชีวิตนี้ไม่เหลือใครแล้ว เพราะเรณูจะเป็นคนช่วยให้พี่อภัสราได้มีเพื่อน มีที่อยู่อาศัย มีความสุขมากยิ่งขึ้น ก็เลยหมือนกับว่าเราได้ปรับทุกข์และได้ร่วมสุขกัน มันจึงเกิดเป็นฉากนี้ขึ้นค่ะ
การฝึกร้องเพลง “กะละมัง” ของตุ๊กกี้กะน้องน้ำขิง ได้ซีดีมาก็เปิดฟัง เพลงมันเพราะมาก ฟังแค่ 2-3 รอบก็ร้องได้แล้ว และก็ยังได้ครูดีอย่างน้ำขิงที่ร้องเพลงเก่งอยู่แล้ว และเป็นเพลงภาคอีสานบ้านตุ๊กกี้เอง บอกได้คำเดียวว่าฉลุยค่ะ และในเรื่องนี้มันไม่ได้ร้องอย่างเดียวนะคะ มันต้องมีเต้นด้วยค่ะ แต่ความชำนาญของตุ๊กกี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 5-6 ปี บวกกับความฉลาด และเก่งของน้องเรณูหรือน้องน้ำขิงนี่ล่ะค่ะ แหม 2-3 เทคแค่นั้นเองค่ะ ฉลุยค่ะ เพราะสนุกเต้น มันส์ ฮาในฉากนี้ ต้องติดตามค่ะ
สะท้อนวิถีชนบทอีสานผ่านหลายฉากในเรื่องนี้
ใช่ค่ะ จะว่าไปเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องราวชีวิตชาวอีสานอยู่แล้ว ฉากต่างๆ ที่ออกมาก็เป็นวิถีชาวอีสานนี่แหละค่ะอย่างฉากเลี้ยงควาย ฉากจับปลาไหล ฉากลงแขกเกี่ยวข้าวที่ชาวบ้านจะมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วก็ยังมีฉากหนังขายยาหรือหนังกลางแปลง ซีนนี้ก็เป็นซีนของปัญญากะเรณู เป็นซีนวางแผนของเรณู เป็นฉากดูหนัง เราถ่ายกันตั้งแต่หกโมงครึ่งจนถึงตีสองสิบห้าค่ะ ที่นานเพราะอะไร มันเป็นซีนอารมณ์ค่ะ แขกไม่ได้รับเชิญก็มากันเยอะซะจริงๆ ค่ะ มาทีเป็นหมื่นเป็นล้าน น้องแมงเม่าค่ะ เปิดไฟที โอ้โห...เข้าปากบ้าง เข้าตาบ้าง พูดไปไม่รู้ไดอะล็อค แมงเม่าบินเข้าปากบ้าง วันนั้นก็เลยปาไปตีสอง แต่ก็สู้ตายค่ะ ด้วยจำนวนคนไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่จำนวนพี่ๆ แมงเม่าเยอะเกินไป แต่ถามว่ากรุงเทพฯ มีมั้ย ไม่มีนะคะ นี่คือความพิเศษของทุ่งนาและก็บ้านของเราค่ะ
เสน่ห์และความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้
เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งแรกคือบรรยากาศและวัฒนธรรมความเป็นภาคอีสานค่ะ ทั้งหมดทั้งมวลทั้งดนตรี คำพูด อากัปกิริยาการแต่งตัว เชื่อเลยค่ะว่าที่กรุงเทพฯ ไม่มีค่ะ นี่คือสิ่งแรกที่ดึงดูดให้เรื่องนี้น่าดู
ต่อมาคือตัวนักแสดงนี่ล่ะค่ะ ขอบคุณพี่หม่ำด้วยนะคะที่เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ เชื่อว่าพี่หม่ำกับตุ๊กกี้ร่วมกันกันทำให้เรื่องนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นจาก 99% ความดีความเก่งความน่าดูที่เค้ามีอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว ก็ขอเป็นหนึ่งจุดกับพี่หม่ำค่ะที่ช่วยเรื่องนี้เต็มร้อยค่ะ ความสนุกสนานเพิ่มจากเดิมแน่นอนค่ะ