นู สกิน ประกาศเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ ไลฟ์เจน เทคโนโลยี แต่เพียงผู้เดียวอย่างเป็นทางการ

ข่าวทั่วไป Wednesday December 28, 2011 13:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 ธ.ค.--Siam PR นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส อิงค์ สหรัฐอเมริกา ประกาศความสำเร็จ ในการเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ กิจการสถาบันไลฟ์เจน เทคโนโลยี แต่เพียงผู้เดียว อย่างเป็นทางการ ด้วยเงินลงทุนกว่า 350 ล้านบาท เพื่อเป็นเจ้าของผลงานวิจัย และการค้นคว้ารหัสพันธุกรรม หรือ ยีน พร้อมลงนามในสัญญาร่วมกับ ดร. ริชาร์ด ไวน์ดรัช และ ดร. โทมัส พรอลล่า ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันพันธุวิศวกรรมไลฟ์เจน ซึ่ง นู สกิน จะเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา ของไลฟ์เจน ในผลงานวิจัย และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่เกี่ยวกับกลุ่มยีนที่เป็นต้นตอของความชราหลังจากใช้เวลาศึกษานานกว่า 30 ปี โดย นู สกิน และไลฟ์เจนได้นำผลงานวิจัย มาพัฒนาเป็นเทคโนโลยีเอจล็อค และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชราระดับสุดยอดนวัตกรรมที่ตรงเข้าจัดการถึงต้นตอความชราในระดับยีน ดร. โจเซฟ แชง หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส อิงค์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า นู สกิน ได้ลงทุน 11.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 351 ล้านบาท เพื่อครอบครองสิทธิ์ในสถาบันพันธุวิศวกรรมไลฟ์เจนเทคโนโลยี เมืองเมดิสัน มลรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา อย่างเป็นทางการ ซึ่งสถาบันไลฟ์เจน เป็นบริษัทที่ดำเนินงานและมีชื่อเสียงเกี่ยวกับการวิจัยและค้นคว้าด้านรหัสพันธุกรรม หรือยีน ซึ่งผลจากการลงทุนครั้งนี้ทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดของสถาบันไลฟ์เจน ไม่ว่าจะเป็นคลังเนื้อเยื่อ ฐานข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงออกของยีน สิทธิบัตร และทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยยีนเพื่อการต่อต้านความเสื่อมชรา จะถูกโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของ นู สกิน โดยทันที ดร. โจเซฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ นู สกิน ลงนามในสัญญาร่วมกันกับ ดร. ริชาร์ด ไวน์ดรัช และดร. โทมัส พรอลล่า ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันพันธุวิศวกรรมไลฟ์เจน ในการค้นคว้าวิจัย และพัฒนาผลงานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ รวมไปถึงการให้คำปรึกษา และข้อตกลงในการไม่ทำงานให้บริษัทที่เป็นคู่แข่งของ นู สกิน โดยทั้งดร.ริชาร์ด และดร.โทมัส จะเป็นหัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ดูแลการค้นคว้าวิจัยประจำฐานการวิจัยเมืองเมดิสัน รวมทั้งจะดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านศาสตร์แห่งการต่อต้านความเสื่อมชราของ นู สกิน อีกด้วย “นู สกิน มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับสิทธิ์ในการถือครองกรรมสิทธิ์สถาบันไลฟ์เจนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเราเชื่อว่าการได้รับสิทธิ์ในครั้งนี้ เป็นการช่วยเสริมจุดยืนของ นู สกิน ในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการต่อต้านความเสื่อมชราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดย นู สกิน ได้รับสิทธิพิเศษในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาของไลฟ์เจน ในผลงานวิจัย และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่เกี่ยวกับกลุ่มยีนที่เป็นต้นตอของความชรา ซึ่งใช้เวลาในการศึกษามากกว่า 30 ปี รวมทั้งขั้นตอน และระเบียบวิธีการในการชี้เฉพาะกลุ่มยีนที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมชรา ซึ่งตลาดต่อต้านความชราทั่วโลกถูกจับตามองว่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และ นู สกิน จะเป็นผู้เดียว ที่ได้กรรมสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สินทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันไลฟ์เจน ผนวกกับความเชี่ยวชาญของทีมนักวิทยาศาสตร์ของ นู สกิน ทำให้เรามั่นใจว่าเราจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชราระดับสุดยอดนวัตกรรม เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถคงความอ่อนเยาว์ตราบนานเท่านาน” ดร. โจเซฟ กล่าว ดร. เจโซฟ กล่าวว่า นู สกิน เริ่มความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์กับสถาบันไลฟ์เจนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 ซึ่งการวิจัยเกี่ยวกับยีนของไลฟ์เจนได้นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชราระดับสุดยอดนวัตกรรมภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ “เอจล็อค” ได้แก่ ชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเอจล็อค ทรานฟอร์เมชั่น และผลิตภัณฑ์กัลวานิค สปา เอจล็อค โดย นู สกิน ได้นำข้อมูลการวิจัยของสถาบันไลฟ์เจน มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจล็อคเทคโนโลยี ที่จะช่วยต่อต้านความเสื่อมชราจากภายในสู่ภายนอก ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี ค.ศ. 2013 และการผนึกกำลังระหว่างไลฟ์เจน และ นู สกิน ในครั้งนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่สุดแห่งนวัตกรรมในกลุ่มต่อต้านความเสื่อมชราอย่างต่อเนื่องต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ