อาราดอำนวยการสร้าง “Elektra” ที่นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ จากฟ็อกซ์และรีเจนซี่ ; “The Hulk” ที่สร้างจากการ์ตูนซีรีส์ชุดดังของมาร์เวล และกำกับการแสดงโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์ อั้งลี่ และภาพยนตร์ทำเงินอย่าง “X2” ซึ่งนำผู้กำกับไบรอัน ซิงเงอร์ มาทำงานกันอีกครั้งกับฮิวช์ แจ๊คแมน, แพทริค สตวร์ท, เอียน แม็คเคลเลน และฮัลลี่ แบรี่ จากภาพยนตร์ที่ทำเงินมาก่อน“X-Men” ซึ่งอาราดทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร
โครงการต่อไปของอาราด คือ “X3” บทต่อไปของมหากาพย์ภาพยนตร์ “X-Men”
ผลงานของอาราดที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ได้แก่ หนังฮิต“Daredevil” นำแสดงโดย เบน เอฟเฟล็ค, เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และคอลิน ฟาร์เรล ซึ่งอาราดทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง เมื่อไม่นานมานี้ ภาพยนตร์ที่ใช้นักแสดงจริงของอาราดยังมีเรื่อง “Ghost Rider” “Namor” “Iron Man,” และ “Werewolf by Night”
เขาเริ่มต้นทำภาพยนตร์ของมาร์เวลกับเวสลีย์ สไนป์สในภาพยนตร์เรื่อง“Blade” และ “Blade II” กับทางนิว ไลน์ ซีนีม่า อาราดอำนวนการสร้างบริหารทีวีซีรีส์เอนิเมตของมาร์เวล ไม่ว่าจะเป็น “Spider-Man” และ “X-Men” รายการสำหรับเด็กซึ่งมีเรตติ้งสูงที่สุด โดยฉายที่ ฟ็อกซ์ คิดส์ เน็ตเวิร์ค รวมทั้ง “Incredible Hulk” “Fantastic Four” “Iron Man” และ “Silver Surfer” ก่อนจะมาทำงานกับมาร์เวล ชื่อเสียงของอาราดในประเภทหนังเอนิเมชั่น ได้แก่ “Conan the Adventurer” “King Arthur & the Knights of Justice” “Double Dragon” และ “Bot Master”
สำหรับหนังทางโทรทัศน์ อาราดสร้างสรรค์และอำนวยการสร้างเรื่องที่มีคนรอคอยมากที่สุด นั่นคือ เรื่อง “Mutant X” อาราดยังเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับเทเลฟิล์มที่ “Generation X and Nick Fury, Agent of S.H.I.E.L.D.”
อาราดเป็นผู้เชี่ยวชาญมานานมากเกี่ยวกับงานบันเทิงสำหรับเด็ก เขาคือหนึ่งในผู้ออกแบบของเล่นที่ระลึกชิ้นแรกของโลก และอำนวยการสร้างรายการสำหรับเด็กและพลังในการสร้างสรรค์สำหรับทำให้การ์ตูนของมาร์เวลมีชีวิตในรูปแบบของเล่น ภาพยนตร์และโทรทัศน์ไร้ปัญหา และเรื่องของล้าสมัย เขายังมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และพัฒนางานบันเทิงอีกมากมายหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปจำลองขนาดเล็ก ของเล่น ตุ๊กตา พาหนะ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิก ซอฟท์แวร์เพื่อการศึกษาและวิดีโอเกม อาราดยังพัฒนางานเอนิเมชั่นทางทีวีเพื่อรวมกับงานบันเทิงและของเล่นจากบริษัทอย่าง ทอย บิส แมทเทล นินเทนโด ไทเกอร์ และ เซก้า
เมื่อมาร์เวล เอ็นเตอร์เทนเมนท์ กรุ๊ปสนใจทอย บิส ในเดือนเมษายน ค.ศ.1993 อาราดได้ร่วมกับชมรมบันเทิงในนิวยอร์คเพื่ออุทิศเวลาของเขาให้กับทอย บิส และมาร์เวล สตูดิโอส์ ในฐานะผู้กำกับและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทอย บิสและประธานของมาร์เวล สตูดิโอส์ อาราดยังคงตรวจตราในส่วนของการออกแบบ การพัฒนา และการอนุมัติผลิตภัณฑ์ของทอย บิสจากแนวคิดเบื้องต้นไปสู่ขั้นตอนการบรรจุหีบห่อ การทำโฆษณา และกลยุทธ์การขายสินค้า เขาเป็นเครื่องมือในการนำเสนอที่กำลังขยายตัวในฐานะกำลังสำคัญในส่วนของลิขสิทธิ์ การได้ลิขสิทธิ์ของเล่นชิ้นเอกไปจนถึงตราผลิตภัณฑ์และ
ทรัพย์สินนอกขอบเขตของมาร์เวล เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1998 ทอย บิสเข้าถือสิทธิ์มาร์เวล เอ็นเตอร์เทนเมนท์และรวมบริษัทกันภายในนามมาร์เวล เอ็นเตอร์ไพร์ซเซส
ราล์ฟ วินเทอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวของเขา ได้แก่ “X2” ภาพ-ยนตร์ที่ทำรายได้มากมายตอนต่อจาก“X-Men” สำหรับทเวนตี้เอ็ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งเขาอำนวยการสร้างกับลอเรน ชูเลอร์ ดอนเนอร์ เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างเรื่อง“X-Men”สำหรับทเวนตี้เอ็ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เขาอำนวยการสร้างกับลอเรน ชูเลอร์ ดอนเนอร์และไบรอัน ซิงเงอร์ (“The Usual Suspects”) กำกับ วินเทอร์จะกลับมาอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง “X3” due สำหรับออกฉายทั่วโลกในเดือนพฤษภาคม 2006
ภาพยนตร์เรื่อง “X2” ได้รับการขนานนามว่าเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีแนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดโดยรางวัลแซทเทิร์น อะวอร์ดในปี 2004 และเปิดฉายได้เงินถึง 85 ล้านดอลลาร์ เป็นการเปิดฉายที่รายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับห้า ขณะที่ ”X-Men” เปิดฉายด้วยรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ในตอนนั้นสำหรับภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาคต่อด้วยรายได้ 54.4 ล้านดอลลาร์ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนำแสดงโดยแพทริค สตวร์ท ฮิวช์ แจ๊คแมน เอียน แม็คเคลเลน และฮัลลี่ แบรี่ ระหว่างภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับเรื่อง“Planet of the Apes” ที่กำกับโดย ทิม เบอร์ตันสำหรับทเวนตี้เอ็ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ภาพยนตร์เปิดตัวด้วยรายได้ 68.5 ล้านดอลลาร์ เป็นรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์สำหรับการฉายสามวันที่ไม่ใช่วันหยุด
วินเทอร์มีภาพยนตร์สี่เรื่องออกฉายในปี 2003 เริ่มด้วย “Shoot or Be Shot” ภาพยนตร์ตลกที่นำแสดงโดย วิลเลี่ยม แชตเนอร์ และ แฮรี่ แฮมลิน “Blizzard” ที่มีเลอวาร์ เบอร์ตันกำกับ นำแสดงโดย วูปี้ โกลด์เบิร์ก คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ เบรนดา เบลไธน์ และเควิน พอลแล็ค ซึ่งได้รับรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศแคนาดา(DGC)ในปี 2004 สำหรับภาพยนตร์สำหรับคอรบครัว เขาร่วมกับโจ กู้ดแมนและบ๊อบบี้ นัทซ์ ในการอำนวยการสร้างเรื่อง “Hangman’s Curse” ภาพยนตร์ที่อิงจากนิยายของแฟรงค์ เพอร์เรตติ กำกับการแสดงโดยผู้กำกับที่ได้รับรางวัลซันแดนซ์ ราฟาเอล เซลินสกี้ (“Fun”) และนำแสดงโดย เดวิด คีธกับเมล แฮริส
เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับเรื่อง “Inspector Gadget” สำหรับวอล์ท ดิสนีย์ พิกเจอร์ส ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงในหน้าร้อนปีนั้น เขายังอำนวยการสร้างกับ ทอม จาคอบสัน สำหรับภาพยนตร์ที่นำภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง“Mighty Joe Young” จากปี 1949 มาทำใหม่ให้กับดิสนีย์ซึ่งกำกับโดย รอน อันเดอร์วูด (“City Slickers”) นอกจากนี้ เขายังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Hackers” ให้กับยูไนเต็ด อาร์ติสต์ส กำกับโดยเอียน ซอฟท์ลีย์ และทีวีซีรีส์ของเอบีซีเรื่อง “High Incident” สำหรับบริษัทดรีมเวิร์คสของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ในปี ‘95-’96 มันทำให้เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในตอนพิเศษวันฮัลโลวีนเรื่อง“Masquerade”
ในฤดูใบไม้ร่วงปี ’96 เขามุ่งหน้าไปยังวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เพื่อทำงานกับผู้กำกับแซม ไรมี่ ในปีเดียวกันนั้น เขายังอำนวยการสร้างภาพยนตร์สั้นที่ได้รับรางวัล เรื่อง “Opie Gone Mad.”
วินเทอร์อำนวยการสร้าง“Star Trek VI: The Undiscovered Country” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สองรางวัล และเรื่อง“Star Trek IV: The Voyage Home” ซึ่งได้เสนอชื่อชิงออสการ์สี่รางวัล
ที่บริษัท วอลท์ ดิสนีย์ เขาอำนวยการสร้างเรื่อง “The Puppet Masters” และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ตลก “Hocus Pocus” ซึ่งนำแสดงโดย เบ็ต มิดเลอร์, ซาราห์ เจสสิกา พาร์คเกอร์ และเรื่อง “Captain Ron” นำแสดงโดย เคิร์ต รัสเซล และ มาร์ติน ช็อร์ต
วินเทอร์อำนวยการสร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่อง“The Perfect Weapon” อำนวยการสร้างบริหารร่วมในภาพยนตร์ของพาราเมาท์เรื่อง“Flight of the Intruder” และ “Star Trek V: The Final Frontier” และเทปทดลองรายการโทรทัศน์ของดิสนีย์ “Plymouth” ระหว่างช่วงฤดูร้อน ปี 1997
วินเทอร์อำนวยการสร้างภาพยนตร์ความยาว 18 นาทีเพื่อการพิจารณาของรางวัลออสการ์ เรื่อง
“Spittin’ Image” ซึ่งอิงมาจากเรื่องสั้นของวอลท์ แวนเกอริน
ในฐานะผู้บริหารที่ดูแลงานสร้างให้กับฮาร์ฟ เบนเน็ต โปรดักชั่นส์ วินเทอร์ดูแลภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่อง “Jesse Owens Story” รวมทั้งละครชีวิตที่ได้รับรางวัลเอ็มมี่ปี1982 เรื่อง “A Woman Called Golda”
เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Left Behind” นำแสดงโดย แบรด จอห์นสัน และ เคิร์ก คาเมรอน ซึ่งอิงมาจากหนังสือขายดีสำหรับตลาดชาวคริสเตียนและขายเป็นโฮมวิดีโอได้กว่าสามล้านชุด
วินเทอร์กำลังพัฒนาภาพยนตร์และรายการพิเศษทางโทรทัศน์หลายรายการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาของเขากับทเวนตี้เอ็ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งได้แก่ “Nightmare Academy” สำหรับบริษัท ฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์/เอฟเอชวี และเรื่อง“Breaking the Box” ซึ่งจะกำกับโดยเจ้าของรางวัลเอ็มทีวีมิวสิค
วิดีโออะวอร์ดหลายรางวัล เดฟ เมเยอร์ส
วินเทอร์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เบอร์ลีย์ เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งอเมริกา และสถาบันศิลปะภาพยนตร์และวิทยาศาสตร์
จากความสำเร็จทั่วโลกของ “Harry Potter and the Sorcerer's Stone” และ “Harry Potter and the Chamber of Secrets” ผู้กำกับ คริส โคลัมบัส (ผู้อำนวยการสร้าง) กลับมาทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างให้กับ “Harry Potter and the Prisoner of Azkaban” และเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับ “Harry Potter and the Goblet of Fire” ที่กำลังจะออกฉาย เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการอำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากละครเวทีบรอดเวย์สุดฮิตเรื่อง “Rent”
โคลัมบัสอาจจะมีชื่อเสียงโด่งดังจากการกำกับหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นั่นคือเรื่อง “Home Alone” และเรื่องต่อมาที่ประสบความสำเร็จเช่นกันกับ “Home Alone 2: Lost in New York”
โคลัมบัสยังอำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง “Mrs. Doubtfire” นำแสดงโดย โรบิน วิลเลียมส์ และ แซลลี่ ฟิลด์ ภาพยนตร์แนวชีวิตเรื่อง “Stepmom” ที่มีจูเลีย โรเบิร์ตส และ ซูซาน ซาแรนดอนนำแสดง และเรื่อง “Nine Months” ซึ่งเขาเขียนบทเองด้วย เขายังเขียนบทและอำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ตลกเรื่องล่าสุด “Christmas with the Kranks”
โคลัมบัสเกิดที่เมืองสแปงเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย และโตนอกเมืองยังส์ทาวน์ รัฐโอไฮโอ ตอนเป็นวัยรุ่น เขาอยากวาดการ์ตูนให้กับมาร์เวล คอมมิกส์ และในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบว่าหนังสือการ์ตูนคล้ายคลึงกับสตอรี่บอร์ดของภาพยนตร์ ตอนเรียนมัยมปลาย เขาเริ่มถ่ายภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม 8 มม.และวาดสตอรี่บอร์ดเอง (ซึ่งเขายังคงทำกับภาพยนตร์ของเขาอยู่จนทุกวันนี้) หลังจากจบชั้นมัธยม เขาสมัครเข้าเรียนในหลักสูตรผู้กำกับการแสดงที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ใน Tisch School of the Arts.
โคลัมบัสประสบความสำเร็จครั้งแรกในฐานะผู้เขียนบท ขณะที่ยังอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาขายบทได้ครั้งแรก กับเรื่อง“Jocks” ภาพยนตร์ตลกเชิงอัตชีวประวัติเกี่ยวกับเด็กนักเรียนคาทอลิกซึ่งไปทดสอบเพื่อเข้าทีมฟุตบอล
หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค คริสเขียนบทดราม่าของเมืองเล็กๆ เรื่อง “Reckless” โดยอิงจากประสบการณ์ของเขาในฐานะคนงานโรงงานในโอไฮโอ เขาได้รับชื่อเสียงในฮอลลีวูดด้วยการเขียนบทดั้งเดิมหลายเรื่องให้กับสตีเว่น สปีลเบิร์ก เช่น ภาพยนตร์ตลกระทึกขวัญ
ปี 1984 เรื่อง“Gremlins” ภาพยนตร์ผจญภัยปี 1985 เรื่อง“Goonies” และภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่อง “Young Sherlock Homes” ซึ่งกำกับโดยแบรี่ เลวินสัน
ความสำเร็จในการเขียนบทนี้นำโคลัมบัสไปสู่การกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา นั่นคือ “Adventures in Babysitting” การได้พบกับจอห์น ฮิวช์ทำให้โคลัมบัสได้ทำ “Home Alone” จากนั้น เขาก็เขียนบทและกำกับ “Only the Lonely”
ไมเคิล แฟรนซ์ (ผู้เขียนบท) บทภาพยนตร์ที่ทำให้โด่งดังคือเรื่อง “Cliffhanger” ในปี 1991 ที่ทำให้คารอลโค พิกเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำภายในเวลาหนึ่งปี และกลายเป็นหนังฮิตไปทั่วโลกในปี 1993 สำหรับซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และเรนนี่ ฮาร์ลิน จากนั้น แฟรนซ์ได้ปลุกเจมส์ บอนด์ที่นอนสงบนิ่งให้ตื่นอีกครั้งด้วยบทของเขาสำหรับตอน “Goldeneye” และกลายเป็นหนังฮิตไปทั่วโลกในปี 1995 การทำงานของแฟรนซ์กับภาพยนตร์เรื่อง James Bond ยังคงต่อเนื่องด้วยบทในตอน“The World Is Not Enough” ที่ออกฉายในปี 1999
การดัดแปลงบทจากการ์ตูนมาร์เวลของแฟรนซ์เริ่มจาก “Hulk” (2003) สำหรับผู้กำกับอั้งลี่ และต่อด้วย “Punisher” (2004) เมื่อไม่นานมานี้ แฟรนซ์มีส่วนร่วมกับภาพยนตร์ โทรทัศน์ และโครงการอินเตอร์แอคทีฟหลายโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นแฟรนซ์จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาและเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี่สามครั้ง มาร์ค ฟรอสต์ (ผู้เขียนบท) เป็นนักเขียนบททั้งภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดสำหรับทีวีซีรีส์เรื่อง“Twin Peaks” และภาพยนตร์เรื่อง“Storyville” ของปี 1992 ซึ่งเขาทั้งเขียนบทและกำกับการแสดง เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี่ในปี 1984 สำหรับการเขียนบทอันโดดเด่นในดราม่าซีรีส์สำหรับตอน“Hill Street Blues” และในปี 1990 เมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อชิงในสาขาการเขียนบทโดดเด่นในประเภทดราม่าซีรีส์และดราม่า
ซีรีส์โดดเด่นสำหรับ“Twin Peaks”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟรอสต์ ได้แก่ “The Repair Shop” (ผู้เขียนบทและผู้อำนวยการสร้างบริหาร) “The Believers” (เขียนบทและผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง) และ “Scared Stiff” (เขียนบท)
นอกจาก “Hill Street Blues” และ “Twin Peaks” ผลงานทางโทรทัศน์ของเขาในฐานะผู้เขียนบทยังมี “The Deadly Look of Love” ซึ่งเขายังร่วมเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร ซีรีส์เรื่อง“Buddy Faro” ในฐานะคนเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างบริหาร และซีรีส์เรื่อง “On the Air” และ “The Six Million Dollar Man”
ฟรอสต์ยังกำกับตอนของ“On the Air” “Twin Peaks” และ “Hill Street Blues”
โอลิเวอร์ วู้ด (ผู้กำกับภาพ) ทำงานในตำแหน่งผู้กำกับภาพมานานกว่าสองทศวรรษ ภาพ-ยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา ได้แก่“The Bourne Supremacy” ภาพยนตร์ภาคต่อที่ประสบความสำเร็จจาก“The Bourne Identity” ซึ่งเขาก็ทำงานเป็นผู้กำกับภาพให้ด้วย
ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Scooby-Doo 2: Monsters Unleashed” “Freaky Friday” ที่นำแสดงโดย เจมี่ ลี เคอร์ติส “National Security” “I, Spy” และ “The Adventures of Pluto Nash” ซึ่งทั้งสองเรื่องนำแสดงโดย เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ “Face/Off” “2 Days in the Valley” “Mr. Holland’s Opus” “For Love or Money” “Rudy” “Bill & Ted’s Bogus Journey”และ “Die Hard 2” และยังมีอีกหลายเรื่องมาก
วู้ด ซึ่งเกิดในประเทศอังกฤษ ใช้เวลาสามปีในฐานะผู้กำกับภาพในทีวีซีรีส์เรื่องฮิต "Miami Vice" และมีอิทธิพลอย่างมากในการสร้างสรรค์รูปแบบของภาพที่โด่งดังของรายการ
บิล โบส์ (ผู้ออกแบบฉาก) เมื่อไม่นานมานี้เขาออกแบบฉากให้กับหนังของราจา กอสเนลล์เรื่อง “Scooby-Doo 2: Monsters Unleashed” ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันเป็นครั้งที่สองหลังจากทำงานด้วยกันใน “Scooby-Doo” ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Return to the Batcave: The Misadventures of Adam and Burt” ซึ่งออกอากาศทางซีบีเอส และ“Monkeybone”ที่นำแสดงโดย เบรนดัน เฟรเชอร์
ผลงานเรื่องอื่นของโบส์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้แก่ การเป็นผู้ช่วยผู้กำกับศิลป์ รวมทั้งการทำงานร่วมกันถึงสองครั้งกับผู้กำกับชื่อดัง ทิม เบอร์ตันในเรื่อง “Sleepy Hollow” และ “The Nightmare Before Christmas” รวมทั้งภาพยนตร์เรื่อง “Alien: Resurrection” และ “James and the Giant Peach”
วิลเลี่ยม ฮอย เอ.ซี.อีส์ (ผู้ลำดับภาพ) ผลงานเรื่องใหม่ๆ ของเขา ได้แก่ หนังฮิตของวิล สมิธ “I, Robot” ภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ ได้แก่ “A Man Apart” “We Were Soldiers” “Madison” “The Bone Collector” ภาพยนตร์ของแรนดัลล์ วอลเลซ เรื่อง "The Man in the Iron Mask” "The Eighteenth Angel" “Outbreak” "Judicial Consent" "Sliver" "Patriot Games" "Star Trek VI: The Undiscovered Country" "Dances With Wolves” "Best of the Best" "Silent Assassins” และ “No Way Out”
นอกเหนือจากการเป็นผู้ลำดับภาพที่มีคนเคารพมากที่สุดและต้องการตัวมากของวงการ ผลงานของจอห์น อ๊อตแมน(ผู้ประพันธ์เพลง) ในฐานะผู้ประพันธ์เพลง ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง “Kiss, Kiss, Bang, Bang” และ “House of Wax” และ “Hide and Seek” ผลงานอีกหลายเรื่องที่เขาทำดนตรีประกอบได้แก่ “Cellular” “Gothika” “Trapped” “Point of Origin”ของเอชบีโอ “Eight Legged Freaks” “Pumpkin” “Bubble Boy” “Lake Placid” “Incognito” “The Cable Guy” และ “Night Train”
เขาทำงานกับผู้กำกับไบรอัน ซิงเงอร์มานาน โดยทำงานด้วยกันครั้งแรกกับผลงานการร่วมกำกับเรื่องแรกชื่อ “Lion’s Den” ซึ่งอ๊อตแมนยังเป็นผู้ลำดับภาพด้วย อ๊อตแมนยังทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ลำดับภาพและผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบให้กับหนังของซิงเงอร์เรื่อง “The Usual Suspects” “Apt Pupil” “X-Men 2: X-Men United” และภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง “Superman Returns” และ “Logan’s Run”
อ๊อตแมนยังกำกับการแสดง ลำดับภาพ และทำเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง“Urban Legends: Final Cut” รางวัลของเขามีมากมาย เช่น รางวัลแบฟต้าสำหรับการลำดับภาพยอดเยี่ยมจาก “The Usual Suspects” รางวัลแซทเทิร์น อะวอร์ดสำหรับดนตรียอดเยี่ยมในเรื่อง “The Usual Suspects” และรางวัลบีเอ็มไอ ฟิล์ม มิวสิค อะวอร์ด สำหรับ “X-Men 2: X-Men United” อ๊อตแมนได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอเมริกัน เอดิเตอร์ส เอ็ดดี้ อะวอร์ด สำหรับ “The Usual Suspects” ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี่สำหรับดนตรีประกอบของตอนทดลองทำของทีวีซีรีส์ในปี 1998-99 เรื่อง “Fantasy Island” และการเสนอชื่อชิงรางวัลแซทเทิร์น อะวอร์ด สาขาดนตรียอดเยี่ยมจาก “X-Men 2: X-Men United”--จบ--