กรุงเทพฯ--5 ม.ค.--Core & Peak
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความวุ่นวายทางการเมือง และวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2554 ได้ผลักดันให้บริษัทต่างๆ ต้องวางแผนรองรับสำหรับปี 2555 เพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและภาวะความไม่แน่นอนอย่างมาก ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ในบางภาคส่วนของธุรกิจ ยังคงมีความแน่นอนบางอย่างอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือความต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานระบบจัดเก็บข้อมูลที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก และยังคงมีแนวโน้มที่จะ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ ไปที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย
สิ่งท้าทายสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในขณะนี้ก็คือการจัดการกับภาวะกดดันเหล่านี้ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก และนั่นส่งผลให้การปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก นอกจากจะต้องจัดการงบประมาณอย่างระมัดระวังแล้ว พวกเขายังจะต้องสามารถทราบผลกระทบที่แท้จริงของระบบที่นำเข้ามาแทนที่ได้อย่างแม่นยำด้วย เช่น เทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการประเมินผลดังกล่าวถือเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนของวิกฤตเศรษฐกิจ
เพื่อให้คำแนะนำบางอย่าง นายฮิว โยชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ จึงได้นำเสนอมุมมองของเขาที่มีต่อแนวโน้ม 10 อันดับแรกที่จะเกิดขึ้นกับระบบจัดเก็บข้อมูลในปี 2555 ดังนี้
1. ความมีประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage efficiency) : ความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลกทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีต้องทำให้ได้รับผลตอบแทนมากขึ้นจากสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่ แทนที่จะต้องซื้อสินทรัพย์เข้ามาใหม่ โดยจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น เช่น ระบบจัดเก็บข้อมูลเสมือนจริง (storage virtualization) การจัดสรรพื้นที่แบบจำกัดตามการใช้งานจริง (dynamic or thin provisioning) การจัดเก็บข้อมูลตามระดับชั้นความสำคัญข้อมูลตามใช้งานจริง(dynamic tiering) และการจัดเก็บข้อมูลถาวร (archiving)
2. การผสานรวมระบบเข้าด้วยกัน (Consolidation to convergence) : การรวมระบบเข้าด้วยกันจะนำไปสู่แนวทางการผสานรวมที่ครอบคลุม โดยจะเห็นได้ว่าในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดไอทีได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรวมระบบและัคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับการผสานรวมเซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล เครือข่าย และ แอพลิเคชั่น เข้าไว้ด้วยกันโดยอาศัย แอพลิเคชั่นโปรแกรมมิ่งอินเทอร์เฟซ (Application programming interfaces (APIs)) ซึ่งจะช่วยกำจัดภาระงาน (workload) ให้กับระบบจัดเก็บข้อมูล ทำให้เซิร์ฟเวอร์และหน่วยความจำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ซอฟต์แวร์การจัดระเบียบจะช่วยในการผสานรวมการจัดการและทำให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตลอดจนสามารถจัดทำรายงานระหว่างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย ระบบจัดเก็บข้อมูล รวมถึงเซิร์ฟเวอร์แบบเฉพาะที่ แบบระยะไกล และแบบคลาวด์ได้
3. การบริหารระบบที่เข้าถึงได้อย่างชัดเจน (Transparency) : แอพพลิเคชั่นและโครงสร้างพื้นฐานจะสามารถเข้าถึงระหว่างกันได้ชัดเจนมากขึ้นซึ่งจะช่วยให้การผสานรวมผ่านอินเทอร์เฟซแบบเปิด เช่น API, ไคลเอ็นต์/ตัวให้บริการ และปลั๊กอินเป็นเรื่องง่าย โดยบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้นำเสนอ Hitachi Command Director ที่ให้มุมมองระดับบริการ การใช้ประโยชน์ และสภาพของโครงสร้างพื้นฐานระบบจัดเก็บข้อมูลที่อยู่เบื้องหลังระบบจัดเก็บข้อมูลเสมือนที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่ได้อย่างชัดเจน
4. ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์ประมวลผล (Storage computerization) : ระบบจัดเก็บข้อมูลจะต้องเปลี่ยนเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์ประมวลในตัวเอง เนื่องจากมีการเพิ่มฟังก์ชันมากมายให้กับระบบดังกล่าว สถาปัตยกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลดั้งเดิมที่มีคอนโทรลเลอร์สำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไปซึ่งรองรับฟังก์ชันใหม่ทั้งหมดนี้พร้อมกับรองรับภาระงานอินพุท/เอาท์พุท (I/O workload) แบบปกติจะไม่สามารถปรับขยายได้อีก ดังนั้น สถาปัตยกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่มีแหล่งรวมของตัวประมวลผลในตัวเองที่ถูกแยกออกมาจะเป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อนำมาใช้ในการจัดการฟังก์ชั่นเพิ่มเติมดังกล่าว
5. ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) : ในปี 2555 ข้อมูลจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็น “ข้อมูลขนาดมหึมา” (Big Data) เนื่องจากการเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลของข้อมูลแบบ Unstructured Data และ แอพลิเคชั่นบนชุดอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ ซึ่งหากเราสามารถจัดการและเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะก่อให้เกิดโอกาสอย่างมากมายสำหรับการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม การนำชุดข้อมูลขนาดใหญ่ไปใช้ในการทำซ้ำ สำรองข้อมูล และการทำเหมืองข้อมูลผ่านทางเครื่องมือแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถบรรลุผลตามที่ต้องการได้ จะเห็นได้ว่าข้อมูลขนาดใหญ่สามารถนำไปสู่สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ได้ ดังนั้น ในปี 2555 จะมีการนำแพลตฟอร์มเกี่ยวกับเนื้อหาเข้ามาใช้ในการจัดเตรียมการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น
6. การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy efficiency) : พลังงาน ระบบทำความเย็น และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ หรือร่องรอยคาร์บอน (carbon footprint) จะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อความต้องการด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และประเทศต่างๆ เริ่มบังคับใช้ภาษีคาร์บอน โดยฝ่ายไอทีจะต้องเข้ามามีส่วนในการรับภาระด้านพลังงานนี้ด้วย
7. บริการกำหนดรูปแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Ergonomic services) : ช่องว่างระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการดำเนินการของฝ่ายไอทีจะกลายเป็นสิ่งสำคัญเมื่อองค์กรธุรกิจต้องการผลักดันให้ฝ่ายไอทีปรับใช้เทคโนโลยีให้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมได้เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดความต้องการในด้านบริการเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อช่วยลดภาระงานที่พนักงานไอทีต้องดำเนินการและช่วยเร่งการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้งาน
8. การปรับขยายระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage scaling) : องค์กรจะต้องการระบบเซิร์ฟเวอร์และเดสก์ท็อปเสมือนจริงเพิ่มขึ้นเพื่อปรับขยายระบบจัดเก็บข้อมูลไมให้เกิดการกระจัดกระจายเนื่องจากความต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่เพิ่มขึ้น ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบโมดูลจะต้องได้รับการแทนที่ด้วยระบบจัดเก็บข้อมูลองค์กรที่สามารถตอบสนองภารกิจสำคัญของเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริงได้ ขณะเดียวกันสถาปัตยกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลแบบสเกล-เอาท์ (scale-out) จะไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการปรับขยายแบบ สเกล-อัพ (scale-up) ของระบบเซิร์ฟเวอร์และเดสก์ท็อปเสมือนจริงได้
9. การย้ายข้อมูลแบบเสมือน (Virtualized migration) : การย้ายข้อมูลของอุปกรณ์แบบต้องหยุดระบบจะถูกแทนที่ด้วยความสามารถใหม่ของระบบเสมือนจริงที่การย้ายข้อมูลไม่จำเป็นต้องรีบูตระบบใหม่
10. การปรับใช้ระบบคลาวด์ (Cloud acquisition) : การปรับใช้ระบบคลาวด์ ทั้งในแบบบริการตนเอง แบบจ่ายเท่าที่ใช้งาน และตามความต้องการ ได้เริ่มเข้ามาแทนที่วงจรการปรับใช้ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันที่มีระยะเวลาระหว่าง 3 — 5 ปี เนื่องจากการผสานรวมเริ่มที่จะสร้างแหล่งรวมทรัพยากรแบบผสมผสานขึ้นมา
ฮิว โยชิดะ เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในแวดวงไอที อีกทั้งยังเป็นวิทยากรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามอย่างมากทาง Twitter (@HuYoshida) โดยบล็อกของเขาได้รับการจัดอันดับล่าสุดจากเน็ตเวิร์คเวิลด์ให้ติด “10 อันดับของบล็อกที่มีอิทธิพลสูงสุด” ของอุตสาหกรรมระบบจัดเก็บข้อมูล และเพื่อให้ แวดวงไอทีสามารถรับรู้แนวโน้มและข้อมูลด้านไอทีที่ทันสมัย โยชิดะจึงได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อพบปะกับลูกค้าและคู่ค้าอย่างทั่วถึง
ในฐานะผู้นำทางความคิดที่มีชื่อเสียง ฮิว โยชิดะได้เขียนรายงานหลายฉบับเกี่ยวกับ SAN (Storage Area Network), Fibre Channel, SAN แบบหลายโปรโตคอล และเทคโนโลยีระบบจัดเก็บข้อมูลเสมือน รวมทั้งเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาของสถาบันระบบจัดเก็บข้อมูลแห่งรัฐบาลสิงคโปร์ (Data Storage Institute of the government of Singapore) อีกด้วย
ทั้งนี้ ฮิว โยชิดะได้เปิดเผยถึงการคาดการณ์และมุมมองของเขาเกี่ยวกับแนวโน้มสำคัญของระบบจัดเก็บข้อมูลในช่วงต้นปีของทุกๆ ปี โดยการคาดการณ์ในแต่ละปีของเขานั้น ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงอุตสาหกรรม สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูได้ที่ http://blogs.hds.com/hu/