กรุงเทพ--12 ม.ค.--throughwave
สำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศในองค์กรที่โดดเด่นในปี 2011 มากๆ และน่าจะกลายเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดอันหนึ่งในปี 2012 ก็คงจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยี Virtual Desktop Infrastructure หรือที่เรามักจะได้ยินคำย่อว่า VDI นั่นเอง เนื่องจากแนวคิดของ VDI นั้นสามารถเพิ่มความคล่องตัว และความปลอดภัยให้แก่ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศภายในองค์กรได้อย่างครบถ้วน และถือเป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าที่สุดระบบหนึ่งในปัจจุบัน
แต่ในประเทศไทย แนวคิดและการปฏิบัติของ VDI นั้นยังไม่แพร่หลาย และยังมี Case Study ไม่มากนัก วันนี้ทาง Throughwave Thailand จึงถือโอกาสมาวิเคราะห์ถึงประโยชน์ และความคุ้มค่าของระบบ VDI สำหรับองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึงแก้ไขความเข้าใจผิดต่างๆ เกี่ยวกับระบบ VDI ด้วย โดยก่อนที่เราจะพูดคุยกันถึงประโยชน์ของระบบ VDI นั้น เรามาดูภาพรวมกันก่อนว่า VDI คืออะไร
Virtual Desktop Infrastructure (VDI) คืออะไร?
กล่าวโดยสรุปแล้ว VDI คือการนำเทคโนโลยี Virtualization เข้ามาช่วยปรับปรุงระบบ PC ของผู้ใช้งาน โดยแทนที่เราจะต้องซื้อ Hardware ที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้งานเป็น PC แต่ละเครื่องสำหรับผู้ใช้งานแต่ละคน โดยที่ผู้ใช้งานแต่ละคนต่างก็ไม่ได้ใช้งานประสิทธิภาพของ Hardware เหล่านั้นอย่างเต็มที่ตลอดเวลา เราก็ได้นำแนวคิดของการทำ Consolidation เหมือนกับที่ทำกับ Server (Server Consolidation) ไม่ว่าจะเป็นการนำ VMware vSphere, Citrix XenServer หรือ Microsoft Hyper-V เข้ามาใช้งาน เพื่อลดจำนวนของ Hardware ลง และเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งาน Hardware เหล่านั้นให้มากขึ้น โดยการยุบรวม Image ของ PC ในองค์กรทั้งหมดมาอยู่บน Virtualization Infrastructure ให้ใช้ Hardware ร่วมกันทั้ง CPU, RAM และ Hard Drives และให้ผู้ใช้งานทำการเข้าถึง Image เหล่านี้ผ่าน Remote Client Software แทน
และเช่นเดียวกับการนำ Virtualization มาประยุกต์ใช้กับ Server การนำแนวคิดนี้มาใช้กับ PC ยังส่งผลดีอื่นๆ อีกมากมายนอกเหนือไปจาก Hardware Consolidation ด้วย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางด้านความคล่องตัวในการบริหารจัดการ, ความปลอดภัยที่มากขึ้น รวมถึงการปกป้องการรั่วไหลของข้อมูลในองค์กรได้ดีขึ้นอีกด้วย
คราวนี้เรามาดูกันต่อว่าประโยชน์ของระบบ VDI นั้นมีอะไรบ้าง
ประโยชน์ของระบบ Virtual Desktop Infrastructure (VDI)
1. ลดความซ้ำซ้อนของ Hardware ประสิทธิภาพสูง
สำหรับหน่วยงานต่างๆ ที่ผู้ใช้งานแต่ละคนในองค์กร จำเป็นต้องมีการประมวลผลด้วย CPU ประสิทธิภาพสูง, Network ความเร็วสูง หรือ Hard Drive ความเร็วสูง แต่ผู้ใช้งานแต่ละคนไม่ได้ทำการประมวลผลนี้พร้อมๆ กันทุกคน การยุบรวม PC ทั้งหมดให้มาใช้งาน Server ตรงกลางร่วมกันแทน ก็ทำให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งตัว Hardware PC และ Client Network ลงไปได้
2. เพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ
เนื่องจากระบบ VDI นั้น เป็นการใช้งาน Image ของระบบปฏิบัติการของผู้ใช้งานร่วมกัน ดังนั้นการบริหารจัดการ Virtual PC ทั้งหมดจึงสามารถทำได้จากศูนย์กลาง และการเปลี่ยนแปลงใดๆ บน Image หลักของ Virtual PC นั้น ก็จะส่งผลต่อไปยัง Virtual PC ของผู้ใช้งานทั้งหมดได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง Client Software เพิ่มเติม, อัพเดต Antivirus, อัพเดต Patch หรือแม้แต่การอัพเกรดระบบปฏิบัติการของผู้ใช้งานก็ตาม
จินตนาการถึงองค์กรที่มี PC 200 เครื่อง และมีผู้ดูแลระบบเพียง 1 คน การปรับปรุงระบบของผู้ใช้งาน 200 คนพร้อมๆ กันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ถ้านำ VDI มาใช้งานแทน ผู้ดูแลระบบเพียง 1 คน ก็สามารถบริหารจัดการ PC ของผู้ใช้งานจำนวน 200 คน หรือ 2,000 คนได้ เสมือนกับการบริหารจัดการ PC เพียงแค่เครื่องเดียวเท่านั้น
3. เพิ่มความปลอดภัยให้แก่ PC ทุกเครื่อง
หนึ่งในแนวทางที่จัดได้ว่าเป็น Best Practice ที่สุดทางด้านความปลอดภัยในระบบเครือข่ายขององค์กร ก็คงจะหนีไม่พ้นการติดตั้งระบบ Microsoft Active Directory หรือเรียกสั้นๆ ว่า MS AD นั่นเอง เนื่องจาก AD จะช่วยให้การยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานและการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันการติดตั้ง AD นั้นยังถือว่าทำได้ยากในทางปฏิบัติสำหรับหลายๆ องค์กร เพราะการทำ AD นั้นถือได้ว่าเป็นงานที่ใช้เวลาเยอะ และผู้ดูแลระบบต้องเข้าไปจัดการปรับปรุงเครื่องของผู้ใช้งานแต่ละคนด้วยตนเอง และส่งผลให้มีปัญหาต่างๆ ตามมามากมายในระหว่างการปฏิบัติงาน
แต่สำหรับระบบ VDI นั้น ผู้ดูแลระบบเพียงแค่ทำการ Join AD ให้กับ Image ของ PC หลักเพียงเครื่องเดียวเท่านั้น จากนั้น Virtual PC ทั้งหมดก็จะมีสภาพเหมือนได้ทำการ Join AD เอาไว้แล้วทันที
4. ควบคุมสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายได้ง่ายยิ่งขึ้น
เดิมทีนั้น การออกแบบระบบความปลอดภัยให้แก่ PC ทั้งหมดในองค์กรถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและสิ้นเปลืองเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีประเด็นทางด้าน Physical ที่ต้องวางแผนให้ครอบคลุมอยู่มาก ทำให้การลงทุนต่างๆ ทั้งสำหรับ Firewall, IPS, Bandwidth Shaper และ Network Access Control ยิ่งสูงตามไปด้วย จนอาจจะเรียกได้ว่าความปลอดภัยในระดับของ Network Layer 2 สำหรับผู้ใช้งานนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
แต่สำหรับระบบ VDI นั้น Traffic ทุกอย่างในระบบเครือข่ายจะถูกรวมอยู่ที่ศูนย์กลาง ทำให้การตรวจสอบดูแลและควบคุมนั้นเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะไม่มีประเด็นทางด้าน Physical มากนัก อีกทั้งปัจจุบันระบบ Security ในระดับ Layer 2 บน Hypervisor เองก็ได้พัฒนาไปมาก และมีผู้ผลิตรายที่น่าสนใจอย่าง Catbird (www.catbird.com) ที่สามารถตรวจสอบและควบคุม Traffic ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนระบบ Virtualization Infrastructure ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยี Virtual Appliance เข้ามาช่วยลดต้นทุนทางด้าน Hardware ลง ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวคิดที่น่าสนใจมาก
5. ลดค่าใช้จ่ายของระบบในระยะยาว
การลงทุน VDI ในครั้งแรกนั้น จะมีค่าใช้จ่ายทางด้านตัว Virtualization Infrastructure ค่อนข้างสูง และต้องมีการลงทุนทางด้านลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ค่อนข้างมาก โดยในช่วงแรกๆ ของการลงทุนนั้น สิ่งที่สามารถเห็นผลได้ชัดเจนที่สุดคือความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในระบบเครือข่าย
แต่ในระยะยาวนั้น ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอุปกรณ์ฝั่ง Client จะค่อยๆ ลดลงด้วย เนื่องจากเราสามารถนำ Thin Client Device เข้ามาใช้แทน PC ได้ อีกทั้งอุปกรณ์ PC เก่าๆ ก็ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็น VDI Client ได้อีกด้วย ถือเป็นการยืดอายุการใช้งานให้กับ Hardware ต่างๆ ในระบบอีกมากมาย
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net