บจ.โชว์กำไรปี 46 เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 ทำกำไรรวมกว่าสามแสนล้านบาท

ข่าวทั่วไป Thursday March 4, 2004 08:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--ตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ร้อยละ 99 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) (415 บริษัทจากทั้งหมด 420 บริษัท) ได้นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546
"บริษัทจดทะเบียนทั้งในตลท.และ MAI มีกำไรสุทธิรวมกันถึง 310,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ที่มีกำไรสุทธิรวม 211,577 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47 โดยบริษัทจดทะเบียนในตลท. ที่นำส่งงบการเงินจำนวน 406 บริษัท จาก 410 บริษัท มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 309,751 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 211,342 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทที่มีผลกำไรสุทธิมีจำนวน 338 บริษัท (ร้อยละ 83) ในขณะที่อีก 68 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ (ร้อยละ 17)
ส่วนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ได้นำส่งงบการเงินจำนวน 9 บริษัท จากจำนวนทั้งหมด 10 บริษัท โดยทั้ง 9 บริษัทมีกำไรสุทธิ 353 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 236 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50" นายกิตติรัตน์ กล่าว
เมื่อพิจารณาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนตามระบบการจัดกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Groups) ของตลาดหลักทรัพย์ที่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ซึ่งไม่รวมหมวดอื่น ๆ และหมวด REHABCO ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจำนวน 364 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 285,936 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 92 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรกคือ
1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วยบริษัทในหมวดพลังงาน 12 บริษัท และหมวดเหมืองแร่ 1 บริษัท ปรากฏผลกำไรสุทธิสูงสุดเท่ากับ 64,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 38 เป็นผลจากการเติบโตของยอดขายของบริษัทในหมวดพลังงานที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 และดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 14
2. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในหมวดวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รวมจำนวน 56 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 63,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 53 ซึ่งเป็นผลจากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 27 ดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 24 และยอดขายเติบโตร้อยละ 21
3. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในหมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิตรวมจำนวน 63 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 54,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 165
4. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในหมวดสื่อสาร ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์รวม 38 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 40,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 125 เป็นผลจากการเติบโตของยอดขายร้อยละ 11 อัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 25 และดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 5
5. กลุ่มบริการ ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนจำนวน 74 บริษัท มีกำไรสุทธิ 33,840 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 25 เป็นผลจากการที่บริษัทมีกำไรจากการปรับหนี้ลดลงจากจำนวน 15,598 ล้านบาทในปี 2545 เหลือเพียง 148 ล้านบาทในปี 2546 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และมีอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงกับปีก่อนที่ร้อยละ 28
นายกิตติรัตน์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มสถาบันการเงินว่า "เฉพาะหมวดธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ 13 แห่ง และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยนั้น มีกำไรสุทธิรวม 34,882 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 223 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2545 ที่มีกำไรสุทธิ 10,815 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ซึ่งเกิดจากกำไรจากเงินลงทุนอันเนื่องมาจากภาวะตลาดทุนที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิก่อนหักหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 อันเป็นผลมาจากสินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง และหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงร้อยละ 35 โดยมีขาดทุนจากปรับโครงสร้างหนี้ 18,168 ล้านบาท
สำหรับกิจการในหมวดธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์จำนวน 19 บริษัท มีกำไรรวม 13,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,218 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 163 โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ธุรกิจหลักทรัพย์สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายการกู้ยืมเงินและค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายของบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 110 ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ค่านายหน้าและรายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) เพิ่มขึ้นมาก รายได้อื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 เนื่องจากกำไรจากการขายเงินลงทุนและรายได้จากค่านายหน้า
ด้านบริษัทเงินทุน มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ซึ่งเกิดจากรายได้จากการให้สินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์มียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นมาก โดยเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 และหนี้สูญลดลงร้อยละ 15"
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มสถาบันการเงินมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) เท่ากับ 615,137 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับเท่ากับร้อยละ 12.88 ซึ่งลดลงจากปีก่อนซึ่งมีอัตราเท่ากับร้อยละ 16.40
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในหมวด REHABCO จำนวน 41 บริษัท นำส่งงบการเงินจำนวนแล้ว 38 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 23,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 26 โดยเป็นบริษัทที่มีผลกำไรสุทธิ 19 บริษัท และมีผลขาดทุนสุทธิ 19 บริษัท สำหรับยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2546 มีรวมทั้งสิ้น 253,735 ล้านบาท ลดลง 26,865 ล้านบาทจากเมื่อสิ้นปี 2545 ซึ่งมีมูลหนี้ทั้งสิ้น 280,600 ล้านบาท
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229-2036 / รุ่งรัชนี อริยภิญโญ โทร. 0-2229-2659 / กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 - 2037 / ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229-2049--จบ--
-นห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ