กรุงเทพฯ--16 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท Action / Thriller
คำโปรย The Ultimate Deception Needs the Ultimate Distraction
กำหนดฉาย 2 กุมภาพันธ์ 2011
บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า (Transformers 1 -3, G.I. Joe)
กำกับ แอสเจอร์ เลท (Ghosts of Cit? Soleil)
เขียนบท พาโบล เอส เฟนจ์เวส (Bloodhounds, The Devil's Child)
นำแสดง แซม เวอร์ธิงตัน (Avatar, Terminator Salvation, Clash of the Titans)
อลิซาเบธ แบงค์ส (Definitely Maybe, The Hunger Games)
เจมี่ เบลล์ (Billy Elliot, Jumper, The Adventures of Tintin)
เอ็ด แฮร์ริส (National Treasure 2, The Rock)
เนื้อเรื่อง
เมื่ออดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ นิค แคสซิดี้ (แซม เวอร์ธิงตัน จาก Avatar และ Clash of the Titans) ต้องกลายเป็นผู้ต้องหา เขาหลบหนีและมุ่งหน้าไป เดอะ รูสเวลท์ ที่อยู่ใจกลางมหานครนิวยอร์ค ขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของโรงแรมและยืนบนระเบียง ทั้งเมืองต้องหยุดนิ่งและเฝ้ามอง รวมถึงกลุ่มคนที่กุมความลับของเขาเอาไว้
การกระทำของ นิค ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวเอง มันยังกลายเป็นข่าวไปทั่วเมือง สถานการณ์มีความเปราะบางเมื่อนักเจรจาประจำกรมตำรวจ ไลเดีย สเปนเซอร์ (อลิซาเบธ แบงค์ส) ที่พยายามเกลี้ยกล่อมเขา ต้องรับมือกับตำรวจมือเก๋า (เอ็ดเวิร์ด เบิร์นส) ที่คิดว่าเธอไม่เหมาะกับการเจรจา เนื่องจากเคยมีประวัติกับ นิค และยิ่ง ไลเดีย ใช้เวลาเจรจากับ นิค มากเท่าไร เธอก็รู้สึกว่าเขามีจุดประสงค์อื่นที่มายืนอยู่ตรงนี้
ในขณะที่ นิค ดึงดูดความสนใจของคนทั้งเมือง ไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบคุยกับ โจอี้ (เจมี่ เบลล์) น้องชายของเขา ที่ร่วมมือกับแฟนสาว (เจเนซิส ร็อดริเกซ) ในการตามหาเพชรมูลค่า 40 ล้านเหรียญของนักธุรกิจผู้ทรงอำนาจ (เอ็ด แฮร์ริส) ซึ่งเป็นชิ้นเดียวกับที่เขาถูกใส่ความว่าโจรกรรม นี่คือหนทางเดียวที่ นิค จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และเป็นหนทางเดียวที่จะเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด
Man on a Ledge อำนวยการสร้างโดย ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า (Transformers 1-3, Salt) ผลงานการกำกับของ แอสเจอร์ เลท (Ghosts of Cite Soleil) จากบทภาพยนตร์ของ พาโบล เอส เฟนจ์เวส (The Affair) โดยได้ทีมงานคุณภาพข้ามาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพ พอล คาเมรอน (Man on Fire), ผู้ออกแบบงานสร้าง อเล็ก แฮมมอนด์ (Red), ผู้ตัดต่อภาพ เควิน สติทท์ (X-Men: First Class) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซูซาน ไลออล (Red)
จุดเริ่มต้นการสร้าง
ตั้งแต่ก่อนสร้าง Transformer ภาคแรก ผู้อำนวยการสร้าง ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า ก็ต้องการเปลี่ยนบทภาพยนตร์ Man on a Ledge ให้กลายเป็นหนัง เขาเล่าว่า "Man on a Ledge เป็นชื่อหนังที่ดึงดูดความสนใจของผม เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนรู้สึกจากการปฏิบัติหน้าที่ นั้นคือการใช้ชีวิตที่เหมือนยืนอยู่ริมระเบียงตึกทุกวัน ต้องเจอกับอาชญากรและอันตรายที่คาดไม่ถึง"
ภาพยนตร์เริ่มด้วยผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูท เดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน เช่าห้องโรงแรมหรูใจกลางเมือง และสั่งอาหารราคาแพง เช่น แชมเปญและล็อบสเตอร์ จากนั้นเขาก็เขียนโน้ตและก้าวออกไปนอกระเบียง สำหรับคนดูแล้วนี่อาจเป็นผู้ชายที่สูญเสียกำลังใจในการใช้ชีวิต
โบนาเวนทูร่า เล่าต่อว่า "มันมีแนวคิดของผู้ชายที่ยืนอยู่ริมระเบียง เขาจะกระโดดหรือไม่ พวกเราได้คุยกับตำรวจและคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ พวกเขาบอกว่าคนที่มองจากด้านล่าง ครึ่งหนึ่งภาวนาให้ปลอดภัย แต่อีกครึ่งหนึ่งก็สารภาพว่าอยากให้กระโดดลงมา มันก็เป็นเรื่องที่ชวนให้คลื่นไส้ แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ ผมคิดว่าสิ่งที่ดึงดูดเราก็คือการได้ตีแผ่หายนะที่เกิดขึ้นโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์บนระเบียง และเหตุการณ์อื่นที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน"
ในที่สุดเราก็ได้รู้จักตัวตนของชายคนนั้น ซึ่งก็คือ นิค (แซม เวอร์ธิงตัน) อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เพิ่งถูกตัดสินให้จำคุก 25 ปี ในคดีที่เขาไม่ได้ก่อ แคสซิดี้ บอกกับจิตแพทย์ของเรือนจำว่า เขาไม่สามารถทนรับความผิดที่ตัวเองถูกใส่ร้ายได้ หลังจากที่เป็นผู้คุ้มกันเพชรมูลค้า 40 ล้านเหรียญที่มีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนักธุรกิจใหญ่ เอวิด อิงแลนเดอร์ (เอ็ด แฮร์ริส) กล่าวหาว่า นิค เป็นคนขโมย ซึ่งเขาก็ได้วางแผนที่จะเอาเงินประกันและครอบครองเพชรเอาไว้
โบนาเวนทูร่า อธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเรื่องนี้ว่า "นิค มีจุดประสงค์บางอย่างที่ทำให้เขาต้องแหกคุกออกมา มันเป็นหนังแอ็คชั่นไล่ล่าก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหนังโจรกรรม และลงเอยด้วยการเป็นหนังที่พูดถึงความรัก" แซม เวอร์ธิงตัน เห็นด้วยกับผู้อำนวยการสร้าง เขาเสริมว่า "มันมีบางอย่างที่ทำให้ Man on a Ledge แตกต่างจากหนังแอ็คชั่นทั่วไป ผมสามารถสร้างมิติให้ตัวละคร มากกว่าที่จะวิ่งไปวิ่งมาและตะโกนเหมือนปกติ"
เรื่องราวของความรักเกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าง นิค และนักเจรจาของกรมตำรวจ ไลเดีย เมอร์เซอร์ (อลิซาเบธ แบงค์ส) ที่ นิค ขอให้มาช่วยเจรจา โดยเธอก็เพิ่งทำงานพลาดจนทำให้คนกระโดดลงมาเสียชีวิต โบนาเวนทูร่า เล่าว่า "นิค เลือก ไลเดีย เพราะเขารู้สึกว่าเธอต้องเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ในขณะเดียวกันเรื่องราวในอดีตของพวกเขาก็กลายเป็นตัวแปรที่สำคัญเช่นกัน"
Man on a Ledge เป็นผลงานการกำกับของ แอสเจอร์ เลท ที่มีผลงานการทำสารคดีมาก่อน นี่คือการตัดสินใจของผู้สร้างที่นำความสมจริงใส่เข้ามาในสถานการณ์ มาร์ค วาห์ราเดี้ยน หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างเล่าว่า "สิ่งที่ แอสเจอร์ นำเข้ามาก็คือรายละเอียดที่ล้ำลึกตามสไตล์ผู้กำกับสารคดี เขามีความสามารถในการเลือกเอาส่วนที่น่าสนใจจากภาพรวม และนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
โบนาเวนทูร่า ก็รู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นของผู้กำกับ ในผลงานหนังบล็อคบัสเตอร์เรื่องแรก "เขาไม่ใช่คนที่คอยหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และนั้นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลาแบบนี้ คุณต้องการผู้กำกับที่มีความกล้า พวกเราชอบที่เขานำเอาความกล้าและความใส่ใจในรายละเอียดมาใช้"
แซม เวอร์ธิงตัน รับบทเป็น นิค แคสซิดี้
แซม เวอร์ธิงตัน นักแสดงที่มีผลงานบล็อคบัสเตอร์ติดๆกัน ไม่ว่าจะเป็น Avatar, Clash of the Titans และ Terminator: Salvation ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้อำนวยการสร้าง วาห์ราเดี้ยน ได้พูดคุยกับนักแสดงนำของหนังที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล เชาเล่าว่า "พวกเราไม่รู้ว่า แซม เป็นคนยังไง เรารู้แค่ว่าเขาเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่หลังจากได้พูดคุยเราพบว่าเขามีความเป็นมืออาชีพและเป็นคนที่กระตือรือล้นในการทำงาน"
เวอร์ธิงตัน รู้สึกประทับใจกับบทภาพยนตร์ที่ตรึงความสนใจคนดูได้ทันที และยังมีเรื่องราวที่ทำให้น่าติดตามอยู่ตลอด "มันเป็นเรื่องของผู้ชายที่ยืนบนระเบียงของตึกสูงเสียดฟ้า นั้นคือชื่อของหนัง แต่ความแตกต่างก็คือสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ต้องเผชิญหน้า มันไม่ใช่แค่การที่เขาจะกระโดดลงมา หรือว่าเขาจะพลาดตกลงมาหรือไม่ มันยังเป็นเรื่องของการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และเป็นการเดินทางของผู้ขายคนหนึ่ง ที่จะทำให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นและนั่งไม่ติดกับที่"
เวอร์ธิงตัน ยอมรับว่าเขารับเล่นเรื่องนี้เพราะต้องการเอาชนะความกลัวที่สูงของตัวเอง ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่ของหนังจะเกิดขึ้นบนระเบียง ถ่ายทำบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมรูสเวลท์ บนถนนหมายเลข 45 ย่านแมนฮัตตัน ที่มีความสูงมากกว่า 200 ฟุต เขาเล่าว่า "ผมอยากจะทำลายขีดจำกัดของตัวเอง และการเอาชนะความกลัวก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดผมเข้ามา"
เมื่อถูกถามว่ามีการเตรียมตัวในการแสดงบนที่สูงอย่างไร เวอร์ธิงตัน ตอบว่า "ผมคิดว่าคุณไม่สามารถเตรียมตัวรับอะไรได้เลย คุณแค่ต้องออกไปนอกระเบียงและแสดง เมื่อพวกเขาบอกว่าเสร็จสิ้น สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการก้าวกลับเข้ามาในอาคาร ทีมสตันท์บอกผมว่าต้องทำตัวยังไงบ้าง แต่นั้นก็เป็นเพียงคำอธิบาย ผมว่ามันเหมือนกับการตกหลุมรัก กระทั่งคุณเจอกับตัวเอง มันเป็นการยากที่จะจินตนาการถึง"
สุดท้ายแล้ว วาห์ราเดี้ยน ก็ได้กล่าวชื่นชม เวอร์ธิงตัน ที่นำทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาในตัวละครตามที่ทุกคนหวังเอาไว้ "เขามีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็อาจมากเกินไปด้วยซ้ำ (หัวเราะ) มันเป็นหน้าที่ของพวกเราในการกำหนดแนวทางให้ แซม เหมือนกับว่าเราพบขุมทรัพย์ในการคัดเลือกนักแสดงนำ เขายอดเยี่ยมที่สุด"
โบนาเวนทูร่า กล่าวสรุปถึงตัวนักแสดงว่า “มีหลายสิ่งที่เราไม่เคยเห็นจาก แซม มาก่อน เขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน มันเหมือนกับว่าเราคุ้นเคยกับการที่เขาเป็นฮีโร่ในหนังหลายเรื่อง แต่ตัวละครในเรื่องนี้แตกต่างไปจากตัวอื่นๆ เขามีอารมณ์ขันแม้ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นความตาย มันเป็นตัวละครที่น่าสนใจ แซม ถ่ายทอดความอ่อนไหวที่ไม่ทำให้คนดูคิดว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ และนั้นก็คือสิ่งที่เขานำมาเสริมสร้างให้กับตัวละครนี้"
ทีมนักแสดง
ผู้สร้างมีความมั่นใจหลังจากได้ทีมนักแสดงคุณภาพเข้ามาร่วมแสดง ไม่ว่าจะเป็น อลิซาเบธ แบงค์ส, เคียร่า เซ็ตวิก, แอนโธนี่ แม็คคีย์, เอ็ดเวิร์ด เบิร์นส, เจมี่ เบลล์, เจเนซิส ร็อดริเกซ และ เอ็ด แฮร์ริส ผู้อำนวยการสร้าง ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า เผยว่า "มันน่าทึ่งมาก ทีมนักแสดงสุดยอดแบบนี้จะช่วยสร้างความสมดุลให้กับหนัง"
อลิซาเบธ แบงค์ส นักแสดงสาวที่มีผลงานอย่าง Definitely Maybe, Zack and Miri Make Porno รวมถึงล่าสุดใน The Hunger Games เข้ามารับบทเป็น ไลเดีย เมอร์เซอร์ นักเจรจาของกรมตำรวจนิวยอร์ค หนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง มาร์ค วาห์ราเดี้ยน ก็ได้พูดถึงเธอว่า "อลิซาเบธ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ผมชอบแนวทางที่เธอถ่ายทอด ไลเดีย ให้เป็นคนที่มีเลือดสีน้ำเงินโดยแท้ ในขณะที่ แซม มีความคิดเหมือนคนทั่วไปมากกว่า มันทำให้เราเห็นถึงความคิดที่แตกต่างในบทสนทนาของทั้งสอง"
แบงค์ส ได้อธิบายถึงตัวของ ไลเดีย ว่า "อย่าว่าแต่ชีวิตของคนอื่น เธอเป็นคนที่ช่วยชีวิตของตัวเองแทบไม่ได้ ฉันคิดว่าสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ เส้นทางในการไถ่บาปที่เกิดขึ้นกับทั้ง แซม และ ไลเดีย ในขณะที่เขาพยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง มันเป็นเรื่องดีที่เขาก็มอบโอกาสให้ ไลเดีย แก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตเช่นกัน"
แอนโธนี่ แม็คคีย์ นักแสดงจากหนังรางวัลออสการ์ The Hurt Locker และล่าสุดใน Real Steel เข้ามารับบทเป็น ไมค์ เพื่อนของ นิค สมัยที่เขายังเป็นตำรวจ เขาเผยว่าตัวเองรู้สึกประทับใจในตัวผู้กำกับ แอสเจอร์ เลท "ผมเคยดูสารคดีของเขาและก็ชื่นชอบมาก ผมรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นความสามารถในการเล่าเรื่องของเขา มันมีบางอย่างที่มืดหม่นและเป็นปริศนาในตัวของ ไมค์ แต่ในขณะเดียวกันสิ่งนั้นก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความอันตราย"
แม็คคีย์ พูดถึงสิ่งที่ทำให้เขาชื่นชอบหนังเรื่องนี้ว่า "มันสามารถรักษาพลังงานไปได้ตลอด นั้นคือเรื่องที่น่าทึ่ง เพราะถึงแม้หนังจะเรียกร้องความสนใจของคุณได้ เมื่อแสดงให้เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไปยืนอยู่ขอบตึก แต่คุณจะทำยังไงเพื่อให้เรื่องราวมีความน่าสนใจ คุณจะทำยังไงเพื่อให้คนดูอยากติดตามต่อไป นั้นคือความท้าทายที่ผมชอบ และผมก็ชอบตัวละครทุกตัวที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด"
สำหรับ เจมี่ เบลล์ ผู้อำนวยการสร้าง โบนาเวนทูร่า คิดว่าการทำงานร่วมกับนักแสดงที่แจ้งเกิดจาก Billy Elliot และกำลังผลงานแสดงนำใน The Adventure of Tintin เป็นประสบการณ์ที่ดี "เจมี่ เป็นคนที่สนุก เขาเป็นนักแสดงที่มาแรงในปัจจุบัน และก็เป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วน เขาและ แซม มีเคมีต้องกันจนทำให้ทุกคนเชื่อว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมา"
เบลล์ เผยถึงสาเหตุที่เขาเข้ามาร่วมแสดงว่า "ผมชอบหนังเรื่องนี้ตรงที่ คนดูจะได้รับข้อมูลใหม่ๆในขณะที่หนังดำเนินเรื่องไป ซึ่งก็จะเปลี่ยนทิศทางของเรื่องราว และเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของแต่ละตัวละคร ผมคิดว่านั้นแหละคือความน่าสนใจ และเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่ตัวเองได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนัง"
เอ็ดเวิร์ด เบิร์นส นักแสดงจาก Saving Private Ryan ก็ได้นำเอาเสน่ห์เข้ามาเป็นบท แจ็ค โดเฮอร์ตี้ ตำรวจนักสืบนิวยอร์ค ผู้อำนวยการสร้าง วาห์ราเดี้ยน เล่าว่า "พวกเราเพิ่มบทบาทให้กับ เอ็ดเวิร์ด เพราะทุกสิ่งที่ออกมาจากปากเขามีทั้งอารมณ์ขัน, จริงจัง และสมจริงตามแบบฉบับของตำรวจนิวยอร์ค เขาเป็นเหมือนตัวแทนของเมือง"
ส่วนใหญ่แล้ว แจ็ค มักจะอยู่กับ ไลเดีย ตัวละครของ แบงค์ส เมื่อ นักสืบโดเฮอร์ตี้ เชื่อว่าเธอไม่เหมาะกับหน้าที่นี้ เบิร์นส เล่าว่า "แจ็ค ไม่ชอบที่ ไลเดีย กลายเป็นผู้ออกคำสั่งแทนเขา เพราะมันควรที่จะเป็นคดีของเขา โดยในครึ่งแรกของเรื่องเขามักจะทำให้เธออยู่ในสถานะลำบาก แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองควรที่จะช่วยเธอ"
เอ็ด แฮร์ริส นักแสดงรุ่นเก๋าจาก The Rock และ National Treasure 2 เข้ามารับบทเป็น เดวิด อิงแลนด์เดอร์ นักธุรกิจที่ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งเข้ามาช่วยทำเพิ่มอำนาจมืดที่แตะต้องไม่ได้ เขาเล่าว่า "มันมีเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม ผมหวังว่ามันจะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดกับเก้าอี้ ตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณเห็นผู้ชายยืนอยู่ริมระเบียง ผมหวังว่าคนดูจะรู้สึกตื่นเต้นไปตลอด"
นักแสดงหน้าใหม่ เจเนซิส ร็อดริเกซ ก็เข้ามารับบทเป็นแฟนสาวสุดเซ็กซี่ของ โจอี้ ที่รับบทโดย เจมี่ เบลล์ โดยเธอเผยว่าความตื่นเต้นในการเข้ามาแสดงก็คือ การรับบทเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และอันตรายในเวลาเดียวกัน "ฉันคิดว่าเธอเป็นคนหัวไวและฉลาด มันเป็นเรื่องสนุกในการได้เข้ามาทำงานกับทีมนักแสดงชุดนี้ มันทำให้ฉันมีพลังงานตลอดเวลา"
เบื้องหลังงานสร้าง
เมื่อพูดถึงฉากที่ตัวละครนำยืนอยู่บนระเบียงตึกสูงระฟ้าใน Man on a Ledge ทีมสร้างเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่มีที่ไหนที่จะดึงดูดความสนใจไปได้มากกว่ามหานครนิวยอร์ค ผู้อำนวยการสร้าง ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า อธิบายถึงการตัดสินใจเลือกสถานที่ถ่ายทำว่า "ผมคิดว่าหนังหลายงเรื่องคงไม่ไปถ่ายทำบนระเบียงเหนือพื้นดิน 225 ฟุตจริงๆ แต่พวกเราคิดว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะทำ ด้วยเหตุผลในเรื่องความสมจริงและความซื่อสัตย์ต่อคอนเซ็ปท์หนัง"
ตึกระฟ้ามากมายที่กระจายอยู่ทั่วกรุงนิวยอร์ค การหาระเบียงตึกที่เหมาะสมจึงกลายเป็นความท้าทาย ผู้ออกแบบงานสร้าง อเล็ก แฮมมอนด์ เล่าว่า "ตอนแรกพวกเรามีการพูดคุยกันว่าจะให้ตัวละครนำยืนอยู่สูงจากพื้นเท่าไหร่ดี บางคนต้องการให้ไม่สูงมากนัก เพื่อที่ นิค จะสามารถสื่อสารกับคนที่อยู่ด้านล่างได้ แต่บางคนก็บอกว่าให้สูงไปเลย เพื่อที่จะได้เพิ่มความรู้สึกที่อันตรายมากขึ้น"
ในที่สุดทีมงานก็ตกลงกันว่าจะให้ตัวละครของ เวอร์ธิงตัน อยู่บนความสูงระดับ 18 ถึง 22 ชั้น ซึ่งสูงพอที่จะสร้างความรู้สึกอึดอัดและต่ำพอที่จะทำให้คนที่อยู่ด้านล่างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ผู้หาสถานที่ถ่ายทำ คีแรน แพทเทน ได้พูดถึงการเลือกสถานที่ถ่ายทำว่า "นอกจากที่ความสูงจะเป็นสิ่งสำคัญแล้ว พวกเรายังมองหาตึกที่ให้ความรู้สึกของเมืองนิวยอร์ค ตึกที่ถูกสร้างในยุคทองสมัยทศวรรษที่ 20 ถึง 30"
ในที่สุดโรงแรม เดอะ รูสเวลล์ ที่ถูกขนานนามว่า "เกรท เดม แห่ง เมดิสัน อเวนิว" สร้างในปีค.ศ. 1924 ใจกลางแมนฮัตตัน ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด แต่การสร้างระเบียงเพื่อใช้ในการถ่ายทำก็เป็นเรื่องท้าทายเช่นกัน โดยทีมงานต้องสร้างห้องพิเศษขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม แฮมมอนด์ เล่าว่า "พวกเราต้องการสถานที่ที่เราควบคุมได้ทั้งหมด ทั้งเรื่องความปลอดภัยของทีมงานและนักแสดง และความยืดหยุ่นที่จะสามารถถ่ายทำจากทุกมุมมองทั้งในและนอกอาคาร"
ความปลอดภัยของทีมงานทุกคนถือเป็นความสำคัญลำดับแรก โดยทีมงานที่ดูแลอย่าง จิม แม็คมิลเลียน ก็เผยว่าเขานอนไม่หลับเมื่อนึกถึงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนระเบียงที่มีความกว้างเพียงแค่ 15 นิ้ว เขาเล่าว่า "พวกเรามีเครนแบกกล้อง 35 ฟุตสองตัว ที่ยืนออกไปจากตัวอาคาร 5 ฟุตและสูงขึ้นไปอีก 10 ฟุต และเหนือขึ้นไปสองชั้นก็คือเครนแบกกล้อง 85 ฟุต ที่หนักประมาณ 7,000 ปอนด์ แกว่งไปมาเหนือถนนย่านเมดิสัน อเวนิว มันเป็นเซทการถ่ายทำที่น่ากลัวที่สุดที่ผมเคยทำงานมา"
เซ็ทระเบียงได้ถูกสร้างขึ้นมาสามชิ้นเพื่อใช้ในการถ่ายทำ แฮมมอนด์ อธิบายว่า "พวกเรามีเซ็ทที่ใช้ถ่ายทำฉากสตันท์ ที่ถูกสร้างในโรงถ่ายที่ลองไอแลนด์ และเซ็ทที่ไว้ถ่ายทำฉากภายในอาคาร ที่มีความสูง 26 ฟุต และมีเซ็ทที่สร้างบนดาดฟ้าของโรงแรมรูสเวลล์ โดยทั้งสามเซ็ทก็มีความเหมือนกันในทุกองค์ประกอบ"
อุปกรณ์ที่ทีมงานขนขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรมรูสเวลล์มีน้ำหนักมหาศาล แม็คมิลเลียน เผยว่า "ผมคิดว่าน้ำหนักของห้องที่เราสร้างบนโรงแรมรูสเวลล์น่าจะประมาณ 10,000 ปอนด์ บวกกับคานสมดุลอีก 10,000 ปอนด์ นอกจากนั้นก็มีเทคโนเครนที่หนัก 4,000 ปอนด์ รวมกับคานสมดุลอีก 6,000 ปอนด์ ผมคิดว่าน้ำหนักรวมที่เราเอาไปไว้บนตึกก็น่าจะมีประมาณ 35,000 — 40,000 ปอนด์"
ผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟ็ค ริชาร์ด คิดด์ เผยว่า เซ็ทระเบียงทั้งสามชิ้นที่สร้างขึ้นมา จะต้องเหมือนกันในทุกองค์ประกอบ เขาอธิบายถึงการทำงานในแผนกของเขาว่า "พวกเรามีหน้าที่ในการเชื่อมทั้งสามเซ็ทเข้าด้วยกัน เช่นเมื่อพวกเขาถ่ายทำกันในโรงถ่าย พวกเราก็มีหน้าที่ในการเพิ่มเติมท้องฟ้าเข้าไป พวกเราเชื่อมทั้งสามฉากเข้าด้วยกัน ให้ดูเหมือนว่าพวกเขาถ่ายทำกันในสถานที่เดียว"
เมืองนิวยอร์คกลายเป็นตัวละครที่สำคัญของเรื่องราว ผู้กำกับ แอสเจอร์ เลท เล่าว่า "มันมีส่วนผสมที่ไม่ใช่แค่เพียงสถาปัตยกรรม แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมและประชาชน ซึ่งคุณจะพบได้ตามตึกรามบ้านช่อง ตลอดจนไปถึงท้องถนนที่พวกเขาเดินมาดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น สำหรับผมนิวยอร์คเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการถ่ายทำ Man on a Ledge ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ที่นี่"
แฮมมอนด์ เสริมว่า "แอสเจอร์ มีแนวทางชัดเจนว่า สิ่งที่เขาต้องการทำในหนังเรื่องนี้ก็คือ การถ่ายทอดปฏิกิริยาของสังคมในมหานครนิวยอร์ค เรื่องราวเล็กๆน้อยๆของตัวละครที่อยู่รอบตัว นิค หลังจากที่เขาก้าวออกมายืนอยู่บนระเบียง"
นักแสดงนำอย่าง แซม เวอร์ธิงตัน ก็เห็นด้วยกับ แฮมมอนด์ เขาเผยว่า "มันเป็นไอเดียที่น่าสนใจสำหรับหนัง ผู้คนด้านล่างจะสงสัยว่า นิค รู้สึกยังไงหลังจากออกมายืนข้างนอก ผมคิดว่านั้นคือความรู้สึกที่พวกเขาควรมี นั้นคือพวกเขาจะไม่มีทางรู้เลยถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง และจะเริ่มเดากันไปต่างๆนาๆถึงสิ่งที่อยู่ในหัวของผู้ชายคนนั้น นั้นคือปฏิกิริยาของคนที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่อง"
ทั้งหมดทั้งปวงแล้ว ทีมงานทุกคนหวังว่า Man on a Ledge จะเป็นหนังที่จะทำให้คนดูรู้สึกทึ่ง เวอร์ธิงตัน สรุปว่า "พวกเราหวังว่าจะทำหนังที่ยอดเยี่ยมให้กับคนดู นั้นคือจุดมุ่งหมายของผมในการแสดงหนังแต่ละเรื่อง นั้นคือผู้คนเต็มใจจ่ายค่าตั๋วและอยากเข้าไปดู พร้อมที่จะผสานตัวเองเข้าไปในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้า และรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นมีความน่าสนใจและน่าติดตามไปจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย"
ทีมนักแสดง
แซม เวอร์ธิงตัน (รับบทเป็น นิค)
แซม เวอร์ธิงตัน เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเขาแสดงนำในหนังบล็อคบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Terminator Salvation, Clash of the Titans และ Avatar ซึ่งทั้งสามเรื่องก็ทำเงินเฉพาะในอเมริกาไปมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แซม เวอร์ธิงตัน เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1976 ที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย และเติบโตในเมืองร็อคกิ้งแฮม หลังจากจบการศึกษาจากสถาบันศิลปะการแสดงแห่งชาติที่ซิดนีย์ เขาก็ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแสดงละครเวทีเรื่อง Judas Kiss ที่โรงละครซิดนีย์ แสดงในซีรี่ย์ออสเตรเลีย ก่อนที่จะได้รับโอกาสแสดงหนังเป็นเรื่องแรกในปี 2000 เรื่อง Bootmen
หลังจากนั้นเขาก็มีหนังคุณภาพของออสเตรเลียอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ Dirty Deeds (2002), Getting Square (2003) และ Somersault (2004) ซึ่งจากเรื่องนี้ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลียไปครอง
เขาเริ่มมีผลงานหนังฮอลลีวู้ดที่ไปถ่ายทำในออสเตรเลียอย่าง Hart's War (2002) และ The Great Raid (2005) ก่อนที่ในปี 2007 เจมส์ คาเมรอน สุดยอดผู้กำกับได้เลือกเขามารับบทนำในหนังฟอร์มยักษ์ Avatar ซึ่งกลายเป็นประตูที่เปิดให้เขาได้แสดงในหนังบล็อคบัสเตอร์มากมาย เช่น Terminator Salvation ประกบกับ คริสเตียน เบลล์ และ Clash of the Titans หนังแอ็คชั่นตำนานกรีกฟอร์มยักษ์
สำหรับผลงานในปี 2011 ที่ผ่านมาของเขาก็คือ Last Night หนังโรแมนติกที่ประกบกับ คีร่า ไนต์ลี่ย์ และ อีวา เมนเดส และ The Debt หนังแอ็คชั่นที่เขานำแสดงคู่กับ เฮเลน มิเรน และ ทอม วิลคินสัน โดยใรปัจจุบันเขากำลังจะมีผลงานเรื่อง Wrath of the Titans ภาคต่อของ Clash of the Titans ที่มีกำหนดฉายในซัมเมอร์ 2012
เอลิซาเบธ แบงก์ส (รับบทเป็น ไลเดีย)
เอลิซาเบธ แบงก์ส เป็นนักแสดงหญิงที่มีผลงานฮิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Spider-Man ทั้งสามภาคในบท เบ็ตตี้ แบรนท์, Definitely, Maybe แสดงคู่กับ ไรอัน เรย์โนลด์ และ เรเชล ไวซ์ รวมถึง Zack and Miri Make a Porno หนังตลกที่แสดงคู่กับ เซธ โรเกน และกำลังจะมีผลงานฟอร์มยักษ์เรื่อง The Hunger Games ที่จะเข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2012
ผลงานก่อนหน้านี้ของเธอก็ยังมี The Next Three Days ของผู้กำกับ พอล แฮ็คกิ้นส์ ที่เธอรับบทนำคู่กับ รัสเซล โครว์, W หนังดราม่าการเมืองของผู้กำกับ โอลิเวอร์ สโตน ที่เธอร่วมแสดงกับ จอร์ช โบรลิน, เจมส์ ครอมเวลล์, เจฟฟรี่ย์ ไรท์ และ แทนดี้ นิวตัน รวมถึง Seabiscuit หนังคุณภาพที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ นำแสดงโดย โทบี้ แม็คไกวร์ และ เจฟฟ์ บริดเจส
แบงก์ส ถือเป็นนักแสดงที่มีผลงานมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเธอรับบทสมทบในหนังฮิตมากมาย อย่างเช่น The Surrogates ที่นำแสดงโดย บรูซ วิลลิส, Catch Me If You Can ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก, The 40-Year-Old Virgin ที่นำแสดงโดย สตีฟ คาร์เรล, Slither หนังสยองขวัญ/ตลก, Shaft ที่นำแสดงโดย แซมมวล แอล แจ็คสัน โดยในปัจจุบันเธอก็กำลังจะรับบทเป็น ทิงเกอร์เบล ในหนังดิสนี่ย์เรื่อง Tink
เจมี่ เบลล์ (รับบทเป็น โจอี้)
ผลงาน >>> Billy Elliot, Jumper, King Kong, The Adventures of Tintin, The Eagle
เอ็ด แฮร์ริส (รับบทเป็น เดวิด)
ผลงาน >>> National Treasure 2, The Rock, The Way Back, Apollo 13
แอนโธนี่ แม็คคีย์ (รับบทเป็น ไมค์)
ผลงาน >>> The Hurt Locker, Real Steel, Million Dollar Baby, We Are Marshall
ทีมผู้สร้าง
ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า (ผู้อำนวยการสร้าง)
ผลงาน >>> Transformers 1-3, The Matrix 1-3, Salt, GI Joe: The Rise of Cobra, Training Day
แอสเจอร์ เลท (ผู้กำกับ)
ผลงาน >>> Ghosts of Cite Soleil
พาโบล เอส เฟนจ์เวส (ผู้เขียนบท)
ผลงาน >>> The Affair, The Devil's Child, A Case for Murder
พอล คาเมรอน (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน >>> Man on Fire, Collateral, Deja Vu, Gone In Sixty Seconds
อเล็ก แฮมมอนด์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> Red, Flightplan, Street Kings, Donnie Darko
ซูซาน ไลออล (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ผลงาน >>> Red, Flightplan, Remember Me, Rachel Getting Married