แสนสิริเผยแผนธุรกิจปี 55’ วางเป้าเปิด 44 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 46,000 ลบ. รุกหัวเมืองใหญ่

ข่าวอสังหา Tuesday January 17, 2012 15:58 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ม.ค.--แสนสิริ แสนสิริเผยแผนธุรกิจปี 55’ วางเป้าเปิด 44 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 46,000 ลบ.รุกหัวเมืองใหญ่ เขาใหญ่ — เชียงใหม่ — พัทยา — ภูเก็ต ขยายฐานลูกค้าต่อเนื่องเปิดตัว Sansiri Lounge — จัดงานขายครั้งใหญ่ที่พารากอน และเปิดโรงงานพรีคาส แสนสิริเผยแผนธุรกิจปี 2555 วางเป้าเปิดตัว 44 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 46,000 ล้านบาท ก้าวข้ามเหนือคู่แข่งด้วยการเปิดตัว “Sansiri Lounge” (แสนสิริ เลานจ์) และรุกตลาดเต็มรูปแบบไตรมาสแรก ด้วยการจัดงานขายครั้งใหญ่ที่สยาม พารากอน พร้อมบุกตลาดต่างจังหวัดเต็มที่ ปูพรมหัวเมือง “เขาใหญ่-เชียงใหม่-พัทยา” พร้อมแผนเปิดตัวโครงการใหม่ครบทุกประเภทที่อยู่อาศัยคลุมทุกเซกเมนต์ต่อเนื่องที่หัวหินและภูเก็ต รวมทั้งเปิดตัวโรงงานพรีคาส ลดระยะเวลาการก่อสร้าง ควบคุมต้นทุน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น มั่นใจศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคต ตั้งเป้ายอดขายปี 2555 ประมาณ 32,000 ล้านบาท คาดโกยยอดขาย Q1 ทะลุ 10,000 ล้านบาท นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2554 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทแสนสิริประสบความสำเร็จจากการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกระดับราคา อาทิ คอนโดมิเนียมภายใต้แนวคิด Vertical Living อาทิ โครงการคอนโดฯ ระดับพรีเมียม Quattro by Sansiri และ CEIL by Sansiri โครงการคอนโดมิเนียมระดับกลาง — ล่าง The Base แจ้งวัฒนะ รวมทั้งโครงการคอนโดมิเนียมที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมากภายใต้แบรนด์ dcondo ในทำเลต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ลูกค้ายังให้ความสนใจโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Attention to details ทั้งโครงการบ้านเดี่ยวใหม่ อาทิ โครงการเศรษฐสิริ ชัยพฤกษ์ — แจ้งวัฒนะ, โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ — จรัญฯ, เศรษฐสิริ ศรีนครินทร์ — พระราม 9 รวมทั้งโครงการสราญสิริ พหลโยธิน — สายไหม เป็นต้น รวมถึงทาวน์เฮาส์โครงการต่างๆ ภายใต้แคมเปญ My World ได้แก่ โครงการทาวน์เฮาส์ระดับพรีเมียม เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 65 โครงการทาวน์เฮาส์ระดับกลาง ทาวน์ อเวนิว ศรีนครินทร์ และโครงการทาวน์เฮาส์ระดับกลาง — ล่าง ฮาบิทาวน์ วัชรพล เป็นต้น นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวโปรดักส์ใหม่ซึ่งเป็นโครงการที่พักอาศัยเชิงพาณิชย์ในรูปแบบ Shop House แบรนด์ B-AVENUE (วัชรพล) และโฮม ออฟฟิศ รูปแบบใหม่ภายใต้แบรนด์ B-Square (พระราม 9 — เหม่งจ๋าย) อีกด้วย ขณะที่บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจตัวแทนซื้อ — ขาย - เช่า อสังหาริมทรัพย์และบริหารงานขายโครงการ รวมถึงบริหารจัดการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัยและบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร ซึ่งได้รับการยอมรับและเชื่อถือด้านการให้บริการและให้คำปรีกษาด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร ทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากว่า 15 ปี ก็มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันพลัส พร็อพเพอร์ตี้ได้รับความไว้วางใจในการให้บริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์มาแล้วเป็นจำนวนกว่า 200 โครงการ รวมพื้นที่กว่า 6.5 ล้านตารางเมตร ในฐานะบริษัทที่มีศักยภาพจากประสบการณ์อันยาวนาน และความสามารถที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล” นายเศรษฐา กล่าว สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2555 แสนสิริจะรุกตลาดที่อยู่อาศัยครอบคลุมในทุกเซกเมนต์อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 จะเป็นปีที่แสนสิริมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เป็นจำนวนมากถึง 44 โครงการครอบคลุมทุกประเภทที่อยู่อาศัยและทุกเซกเมนต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ โฮมออฟฟิศ และช็อปเฮาส์ ฯ เป็นต้น มูลค่าโครงการรวมกว่า 46,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 19 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 19,000 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 15 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,000 ล้านบาท นอกจากนี้จากความสำเร็จในรุกตลาดต่างจังหวัด ทั้งในทำเลหัวหินซึ่งแสนสิริเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศเดิมอยู่ก่อนแล้ว รวมถึงความสำเร็จจากการรุกตลาดที่อยู่อาศัยในจ.ภูเก็ต เห็นได้จากการปิดการขายโครงการ dcondo กะทู้ ภูเก็ต โครงการแรกได้ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวัน ทำให้บริษัทมั่นใจและตัดสินใจรุกตลาดหัวหินและภูเก็ตอย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเปิดตัวโครงการใหม่ที่ครอบคลุมทุกประเภทที่อยู่อาศัยและระดับราคาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในทำเลหัวเมืองใหญ่ เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น อาทิ ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา, จ.เชียงใหม่ และพัทยา เป็นต้น ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ต่อเนื่องจากปีก่อน กลุ่มบริษัทแสนสิริจะมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการขายในปี 2555 อย่างน้อยถึง 95 โครงการ ส่วนประมาณการยอดขายรวมสำหรับปี 2555 ไว้เป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 32,000 ล้านบาท “ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แสนสิริจะรุกธุรกิจเต็มรูปแบบ ทั้งการก้าวข้ามเหนือคู่แข่งรวมทั้งนับเป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยกับการเปิดตัว “Sansiri Lounge” (แสนสิริ เลานจ์)ภายใต้พื้นที่กว่า 250 ตารางเมตรใจกลางเมือง บริเวณชั้น 3 ของสยามพารากอน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแสนสิริได้ง่ายขึ้น และเพื่อให้สมาชิกครอบครัวแสนสิริ (Sansiri Family) ได้สัมผัสประสบการณ์ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ในด้านการตลาด แสนสิริจะมีการจับมือกับพันธมิตรธุรกิจชั้นนำรายใหม่ๆ เพื่อร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่แก่ลูกค้าแสนสิริ อาทิ Panpuri (ปัญญ์ปุริ) — PASAYA — No.57 และ ASAVA เป็นต้น ประกอบกับในวันที่ 17 — 19 กุมภาพันธ์ 2555 แสนสิริก็จะมีการจัดงานขายครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน ซึ่งเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นของลูกค้าที่จะมีต่อการเปิดตัวโรงงานพรีคาสใหม่ ที่ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่จะส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้ดีขึ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้างได้สั้นลง และประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น จึงเชื่อมั่นว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายในไตรมาสแรก ได้สูงถึง 10,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว อนึ่ง ในปีที่ผ่านมา แสนสิริได้ร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ Unicef ในเชิงนโยบายที่เกี่ยวเนื่องกับเด็กและเยาวชนโดยในวันที่ 6 กันยายน 2554 แสนสิริได้มีการจัดงานที่ชื่อว่า “Children are everyone’s business” เพื่อเป็นการประกาศการเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับองค์การยูนิเซฟประเทศไทย โดยแสนสิริได้ถือโอกาสอันดีนี้ในการปรับชื่อการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ให้เข้ากับทิศทางการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบของแสนสิริจากคำว่า CSR (Corporate Social Responsibility) เป็นคำว่า Social Change อีกด้วย (อ่านรายละเอียดตามเอกสารแนบ) รายละเอียดเพิ่มเติมของ “Sansiri Social Change” Sansiri Social Change คือ รูปแบบกิจกรรมเพื่อสังคมที่ยั่งยืนในแบบของแสนสิริ ที่มีการกำหนดเจตนารมณ์ในการมุ่งช่วยเหลือพัฒนาเด็กอย่างยั่งยืนโดยเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ประเทศไทย เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางการทำกิจกรรมเพื่อเด็กของแสนสิริในระยะยาว โดยริเริ่มจากภายในองค์กรของแสนสิริก่อน เริ่มจากการที่ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ ได้ตระหนักในเรื่องของสิทธิเด็ก อาทิ การมีห้องเก็บน้ำนมแม่ในองค์กร เพื่อสนับสนุนพนักงานเรื่องการให้น้ำนมมารดาแก่บุตร รวมให้ความรู้และสวัสดิการต่างๆ เกี่ยวกับแม่และเด็ก โดยในปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้วทั้งที่อาคารสิริภิญโญและอาคารรัชภาคย์ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ หลังจากนี้จะขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรธุรกิจหรือคู่ค้าของแสนสิริ ในการทำโครงการ “สนับสนุนการยุติการใช้แรงงานเด็กในสถานที่ก่อสร้าง” โดยการไม่สนับสนุนการใช้แรงงานเด็ก ซึ่งจะมีการกำหนดข้อบังคับอย่างชัดเจน อาทิ หากพบเห็นการใช้แรงงานเด็ก แสนสิริมีสิทธิ์ในการบอกเลิกสัญญาว่าจ้าง เป็นต้น รวมถึงการขยายโครงการไปในระดับสังคม ทั้งในด้านการศึกษาและด้านสุขภาพ ซึ่งแสนสิริได้สนับสนุนกองทุนยูนิเซฟ ในการช่วยเหลือเด็กทั่วโลกที่ประสบภัยและต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินจากภัยภิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เหตุจากธรรมชาติ เช่น สินามิ แผ่นดินไหว หรือ จากน้ำมือมนุษย์ คือ เช่นการทำสงคราม เป็นต้น นอกจากนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา ยังเกิดการทำงานร่วมกันระหว่าง แสนสิริ และ ยูนิเซฟในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการผลักดันกฎหมายเกลือเสริมไอโอดีน หรือ “iodine please” ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของการทำงานร่วมกันของทุกภาคฝ่าย ตั้งแต่ระดับชุมชน ระดับมวลชน ทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน จนเกิดเป็นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการผลักดันกฎหมายเกลือเสริมไอโอดีน ที่มีในประเทศไทยมานานมากว่า 50 ปี ให้สำเร็จลุล่วงและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจในการที่แสนสิริเป็นบริษัทภาคเอกชนที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการนี้ และ เป็นนับเป็นเกียรติอย่างสูงที่แสนสิริได้เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ในลำดับต่อมา ส่วนในด้านกีฬา นอกเหนือจากการร่วมมือกับยูนิเซฟ ในการสนับสนุนกิจกรรมเกี่ยวกับเด็กในด้านการศึกษาและสุขภาพอย่างจริงจังแล้ว ปัจจุบันแสนสิริยังคงสนับสนุนเยาวชนในด้านกีฬา โดยเฉพาะประเภทกีฬาฟุตบอล ภายใต้โครงการ “Sansiri academy” อย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว นอกเหนือจากแคมเปญที่แสนสิริได้ร่วมมือกับยูนิเซฟ แสนสิริยังได้ก่อตั้งมูลนิธิในชื่อ “เสริมกล้า” เพื่อริเริ่มการทำโครงการอาหารกลางวันอย่างยั่งยืน โดยการเปิดรับการบริจาคเงินเพื่อนำไปดำเนินโครงการอย่างจริงจัง จากการลงสำรวจในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยและพบว่า ยังมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ไปโรงเรียน แม้จะมีนโยบายสนับสนุนให้เรียนฟรี เนื่องจากการขาดแคลนเงินค่าอาหารกลางวันและค่าเดินทาง รวมทั้งการสนับสนุนเงินบริจาคในระยะเวลาเพียง 1 — 2 เดือน ก็มิใช่แนวทางทางที่ยั่งยืนอีกด้วย มูลนิธิ เสริมกล้า จะทำหน้าที่นำเงินที่ได้จากการบริจาค นำไปสร้างโรงเพาะเห็ด, บ่อเลี้ยงปลา, โรงเลี้ยงไก่ เหล่านี้เป็นต้น เพื่อให้เด็กๆ เก็บผลผลิตที่ได้จากโครงการส่วนหนึ่งไว้เป็นอาหารกลางวัน และอีกส่วน ปันไปขายให้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการให้มีความยั่งยืนต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ