กรุงเทพฯ--19 ม.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์
วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิคช่วงเช้า
Gold — ราคาทองคำยังเป็นการแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเช้าวันนี้อยู่ที่ระดับ 1,664 เหรียญ อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ค่าเงินยูโรเริ่มมีความมั่นคงมากขึ้นโดยดีดขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ระดับ 1.2645 ดอลลาร์/ยูโร ณ ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 1.2853 ดอลลาร์/ยูโร ทำให้ภาพหลักของทองคำ และ silver ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทองคำเริ่มขึ้นมาทดสอบแนวต้าน ที่ระดับ 1,665 เหรียญ อีกครั้ง Silver มีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 31.80 เหรียญ เราคาดว่ามีโอกาสค่อนข้างสูงที่ราคาจะสามารถทะลุระดับ 1,667 เหรียญ ขึ้นไปได้
สรุปได้ว่า โดยภาพรวมราคาทองคำเริ่มเป็น sideway up เหลือแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,670 เหรียญเท่านั้น ถ้าทะลุระดับ 1,670 เหรียญ ขึ้นไปได้น่าจะสามารถขึ้นไปทดสอบระดับ 1,700 เหรียญได้ในเร็วๆนี้
หมายเหตุ — บทวิเคราะห์ที่สมบูรณ์แนะนำให้อ่านทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ GOLD ANALYSIS, GOLD RECAP และ GOLD MARKET
คำแนะนำในการลงทุน Gold
Daily - เก็งกำไรในภาวการณ์แกว่งตัว คาดว่าราคาจะเคลื่อนตัวในกรอบ 1,650-1,667 เหรียญ
Weekly - เมื่อวานเป็นการซื้อเข้าต่อเนื่องในช่วงราคาอ่อนตัว พอร์ตประมาณ 40-50 %
Monthly - เข้าซื้อเมื่อวานเมื่อราคาอ่อนตัวเช่นเดียวกัน พอร์ตที่ระดับ 30 %
MORNING RECAP (9.45-16.55)
ราคาทองคำในเวลาซื้อขายภายในประเทศ เปิดตลาดช่วงเช้า ณ ระดับ 1,646 เหรียญ/ออนซ์ Gold futures Series G12 เปิด ณ ระดับ 25,240 บาท Gold futures Series J12 เปิด ณ ระดับ 25,530บาท
สมาคมค้าทองแท่งเปิด ณ ระดับ 24,750 บาท
ราคาทองคำเคลื่อนตัวอยู่ในช่วงระดับ 1,645 — 1,659 เหรียญ โดย เคลื่อนตัวสู่ระดับสูงสุดในช่วงบ่าย ณ ระดับ 1,659 เหรียญ ก่อนจะเคลื่อนตัวสู่ระดับต่ำสุด ณ ระดับ 1,645 เหรียญ และทำการปิดตลาดช่วงบ่าย ณ ระดับราคา 1,651 เหรียญ
NIGHT RECAP (19.30-22.30)
ราคาทองคำในเวลาซื้อขายภายในประเทศ เปิดตลาดช่วงค่ำ ณ ระดับ 1,652 เหรียญ/ออนซ์ Gold Futures Series G12 เปิด ณ ระดับ 25,110 บาท Gold Futures Series J12 เปิด ณ ระดับ 25,430 บาท
ราคาทองคำเคลื่อนตัวอยู่ในช่วงระดับ 1,642 -1,655 เหรียญ โดยในช่วงภาคค่ำ ราคาทองคำเคลื่อนตัวสู่ระดับสูงสุด ณ ระดับ 1,655 เหรียญ ก่อนเคลื่อนตัวสู่ระดับต่ำสุด 1,642 เหรียญ และทำการปิดตลาดภาคค่ำ ณ ระดับ 1,647 เหรียญ
สรุป ราคาทองคำในชั่วโมงซื้อขายภายในประเทศเคลื่อนตัวในทิศทางบวก โดยราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เหรียญ โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ IMF ออกมายืนยันว่าจะเพิ่มเงินทุนเข้าไปอีกประมาณ5-6แสนล้านดอลลาร์เพื่อป้องกันเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบหนี้ยุโรปที่ก่อตัวขึ้นอยู่ โดยในระหว่างวันราคาทองคำมีการทิ้งตัวลงมาประมาณ 13 เหรียญ ในช่วงการซื้อขายภาคบ่าย จากปัจจัยลบในเรื่องของตัวเลขดุลการค้าของอิตาลี ที่ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยประกาศออกมา ณ ระดับ -1.58B จากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ -0.94B อีกทั้งองค์การสหประชาชาติ(UN) ออกมาเปิดเผยในรายงานสถานการณ์แนะแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดย UN คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจกลุ่มอียูจะขยายตัวเพียง 0.7 % ในปี 2555
ข่าวที่สำคัญ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยืนยันว่า IMF จะเพิ่มทุนทรัพย์อีก 5-6 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการปล่อยเงินกู้ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรปที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยจากการประเมินของคณะทำงานของIMFพบว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศทั่วโลกต้องการเงินทุนราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
โกลด์แมน แซคส์เผยกำไรสุทธิร่วงลง 58% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 เนื่องจากค่าธรรมเนียมจากธุรกิจวาณิชธนกิจลดลง ขณะที่ธนาคารลดการจ่ายค่าตอบแทนพนักงานเพื่อชดเชยกับรายได้ที่หดหาย โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 5 ของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไร 1.01 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.84 ดอลลาร์ต่อหุ้นในเดือนต.ค.-ธ.ค.ที่ผ่านมา ลดลงจากระดับ 2.39 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.79 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
เยอรมนีปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2555 เนื่องจากผลกระทบของวิกฤตหนี้ยูโรโซนที่ยังคงยืดเยื้อนายฟิลิปป์ โรสเลอร์ รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยในการแถลงข่าววันนี้ว่า เศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัว 0.7% ในปีนี้ จากเดิมที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาที่ 1% ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ลดลงจากการประเมินก่อนหน้านั้นที่ 1.8% นายโรสเลอร์กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังจากที่หดตัว 0.3% ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ขยายตัว 0.4% ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นหลังจากที่ผลผลิตหดตัวลง 0.3% ในเดือนพ.ย. นอกจากนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.ยังทำสถิติแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1 ปี ส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในไตรมาส 4 ปี 2554 ขยายตัวในอัตรา 3.1% ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 10 ไตรมาส และสะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตมีส่วนสำคัญในการหนุนเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในช่วงปลายปี