กรุงเทพฯ--23 ม.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์
วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิคช่วงเช้า
Gold - ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ โดยราคาทองคำกำลังเข้าสู่แนวต้านสุดท้ายที่ระดับ 1,670 เหรียญ โดยราคา Silver กระชากขึ้นอย่างมากประมาณ 4% ทำให้ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 32.30 เหรียญ โดย Silver เข้าสู่ภาวะขาขึ้น ในขณะที่ทองคำกำลังทดสอบแนวต้านสุดท้าย ซึ่งน่าจะสามารถทะลุแนวต้านไปได้ และเกิดสัญญาณซื้อ แนะนำให้นักลงทุนถือ Long Position และซื้อตามเข้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาถ้าทะลุตรงนี้น่าจะสามารถพุ่งไปได้ไม่น้อยกว่า 1,750 เหรียญ ตามลักษณะทางเทคนิค
Silver — มีลักษณะการซื้อขายค่อนข้างเบาบางไม่ค่อยสามารถทำอะไรกับ Silver มากนัก แม้ว่าจะ Silver จะเข้าสู่ภาวะกระทิงก็ตาม
สรุปได้ว่า ราคาทองคำน่าจะเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น จึงแนะนำให้เพิ่ม Portfolio ดังกล่าวข้างต้น
หมายเหตุ — บทวิเคราะห์ที่สมบูรณ์แนะนำให้อ่านทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ GOLD ANALYSIS, GOLD RECAP และ GOLD MARKET
คำแนะนำในการลงทุน Gold
Daily - เก็งกำไรในภาวะขาขึ้น ให้ระวังวันนี้น่าจะมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง โดยมีกรอบการเคลื่อนไหว 1,660-1,675 เหรียญ
Weekly - ทยอยเข้าช้อนซื้อ ถือ Long Position ถือครองพอร์ตประมาณ 60%
Monthly - ทยอยเข้าช้อนซื้อเช่นเดียวกัน ถือครองพอร์ตประมาณ 40%
MORNING RECAP (9.45-16.55)
ราคาทองคำในเวลาซื้อขายภายในประเทศ เปิดตลาดช่วงเช้า ณ ระดับ 1,653 เหรียญ/ออนซ์ Gold futures Series G12 เปิด ณ ระดับ 25,170 บาท Gold futures Series J12 เปิด ณ ระดับ 25,460บาท สมาคมค้าทองแท่งเปิด ณ ระดับ 24,650 บาท
ราคาทองคำเคลื่อนตัวอยู่ในช่วงระดับ 1,647 — 1,663 เหรียญ โดย เคลื่อนตัวสู่ระดับสูงสุดในช่วงบ่าย ณ ระดับราคา 1,663 เหรียญ ก่อนจะทิ้งตัวสู่ระดับต่ำสุด ณ ระดับ 1,645 เหรียญ และทำการปิดตลาดช่วงบ่าย ณ ระดับราคา 1,647 เหรียญ
NIGHT RECAP (19.30-22.30)
ราคาทองคำในเวลาซื้อขายภายในประเทศ เปิดตลาดช่วงค่ำ ณ ระดับ 1,645 เหรียญ/ออนซ์ Gold Futures Series G12 เปิด ณ ระดับ 24,850 บาท Gold Futures Series J12 เปิด ณ ระดับ 25,160 บาท
ราคาทองคำเคลื่อนตัวอยู่ในช่วงระดับ 1,644 -1,662 เหรียญ โดยในช่วงภาคค่ำ ราคาทองคำเคลื่อนตัวสู่ระดับต่ำสุด ณ ระดับราคา 1,644เหรียญ ก่อนเคลื่อนตัวสู่ระดับสูงสุด ณ ระดับราคา 1,662 เหรียญ และทำการปิดตลาดภาคค่ำ ณ ระดับ 1,659 เหรียญ
สรุป ราคาทองคำในชั่วโมงซื้อขายภายในประเทศเคลื่อนตัวในทิศทางบวก โดยราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6 เหรียญ โดยราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังในเชิงบวกใ นเรื่องที่กรีซจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ภาคเอกชนในเร็วนี้ๆ อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในอิหร่าน หลังจากประธานาธิบดีของฝรั่งเศส นายนิโกลาส์ ซาโกซี่ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรอิหร่านอย่างจริงจังเพื่อยุติแผนการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน
ข่าวที่สำคัญ
นายกรัฐมนตรีเปโดร ปาสซอส โคเอลโญของโปรตุเกส กล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่ารัฐบาลจะดำเนินการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง แม้ว่าสถานการณ์ในต่างประเทศเลวร้ายลง โดยเน้นย้ำถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลและประกาศข้อตกลงนโยบายแรงงานที่ ได้มีการลงนามกับสมาคมของนายจ้างและสหพันธ์สหภาพการค้าโปรตุเกส 1 ใน 2 แห่ง รวมทั้งได้กล่าวถึงความสำเร็จบางส่วนของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงแนวโน้มที่บ่งชี้ถึงการเกินดุลเชิงโครงสร้างเบื้องต้นที่ 2.6% และยังระบุถึงรายงานของธนาคารกลางโปรตุเกสที่แสดงให้เห็นว่ายอดดุลการค้า ต่างประเทศมีแนวโน้มอย่างมากที่จะเกินดุล
รัฐมนตรีคลังของยูโรโซนจะตัดสินใจในวันนี้เกี่ยวกับความพร้อมในการให้เงินช่วยเหลือกรีซงวดที่สองมูลค่า 1.3 แสนล้านยูโรที่มีการตกลงกันในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่ทางภาคเอกชนต้องยอมลดหนี้ให้กรีซลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากปราศจากเงินช่วยเหลือรอบที่สองนี้จากอียูและไอเอ็มเอฟ กรีซจะไม่สามารถชำระหนี้มูลค่า 1.45 หมื่นล้านยูโรที่จะครบกำหนดในเดือนมีนาคมนี้ โดยจุดหลักสำคัญก็คืออัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรกรีซชุดใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะมีอายุครบกำหนดไถ่ถอน 30 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นราว 4%
การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) รายงานว่า การส่งมอบปิโตรเลียมทั้งหมดในสหรัฐลดลง 1.2% มาอยู่ที่ 18.9 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งถือเป็นการร่วงลงมากที่สุดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ยกเว้นปี 2551 ในเดือนธันวาคม 2554 การส่งมอบปิโตรเลียม ซึ่งเป็นข้อมูลชี้วัดอุปสงค์ ลดลง 5.9% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า สู่ระดับ 18.6 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี
มีการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในสหรัฐฯว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริง (ขั้นต้น) ประจำไตรมาส 4/2554 ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ จะขยายตัว 3% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2554 ที่ขยายตัวเพียง 1.8% เนื่องจากชาวอเมริกันมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและภาคเอกชนปรับสต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ภาคเอกชนมีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ