กรุงเทพฯ--25 ม.ค.--สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดพิธีสถาปนาจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางขึ้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา ณ ห้อง Boardroom 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมลำดับที่ 42 ภายใต้สภาอุตสาหกรรมฯ โดยการจัดงานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) มาร่วมแสดงความยินดีในงานสถาปนาดังกล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีกระบวนการผลิต ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยในประเทศไทยสามารถแบ่งสัดส่วนของผู้ผลิตเครื่องสำอางออกเป็น อุตสาหกรรมขนาดย่อม 75% ขนาดกลาง 20% และขนาดใหญ่ 5% มีมูลค่าการขาย ภายในประเทศต่อปี ประมาณ 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 40% และมูลค่าการส่งออก ประมาณ 60,000 ล้านบาท คิดเป็น 60 % อีกทั้งยังมี Supply Chain ที่เกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม อาทิ สมุนไพร เคมี อาหาร สิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว พลาสติก เป็นต้น
“สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุน และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น จึงได้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางขึ้น อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมของไทยที่มีความน่าสนใจ เพราะนอกจากจะเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศเมื่อดูจากสัดส่วนการส่งออก และยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย แต่อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยก็ยังต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน เพราะในปัจจุบันการประกอบอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากเคมีภัณฑ์ และสมุนไพร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม จะมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบเครื่องสำอางไทย รวมทั้งการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจใหม่ๆ (FTA) ซึ่งนับว่าเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจเครื่องสำอางของไทย นอกจากนี้ การวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสมุนไพร ซึ่งมีความต้องการสูง และเป็นโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากสมุนไพร ให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล และเป็นลิขสิทธิ์ของคนไทยเอง ก็ยังจะต้องมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยและปรับปรุงการผลิตเครื่องสำอางให้ได้มาตรฐานเพิ่มมากขึ้นด้วย” นายพยุงศักดิ์ฯ กล่าว
นายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง จำนวน 34 บริษัท ได้ร่วมกันแสดงความจำนงต่อ สภาอุตสาหกรรมฯ ขอจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เพื่อร่วมกันดำเนินงาน และพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมฯ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2554 เห็นชอบและสนับสนุนให้จัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางขึ้น เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมลำดับที่ 42 ภายใต้สภาอุตสาหกรรมฯ พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะผู้ก่อตั้งขึ้น เพื่อดำเนินการจัดตั้งกลุ่มฯ ให้เป็นไปตามข้อบังคับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยคณะผู้ก่อตั้งฯ ได้จัดให้มีการประชุมจัดตั้งกลุ่มฯ เพื่อพิจารณากำหนดข้อบังคับ และเลือกตั้งคณะกรรมการกลุ่มฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย คุณเกศมณี เลิศกิจจา จากบริษัท แอดว๊านซ์ คอสเมติคส์ จำกัด ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกในกลุ่มฯ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ส.อ.ท. วาระปี 2553 — 2555 เป็นท่านแรก” รองประธาน ส.อ.ท. กล่าว
ด้าน นางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ส.อ.ท. กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง มีความเชื่อมั่นว่าการจัดตั้งกลุ่มฯ ในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งในการติดต่อประสานงานกับภาครัฐ ภาควิชาการ และการพัฒนาของอุตสาหกรรมอื่นในห่วงโซ่อุปทาน ในการส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถแข่งขันในตลาดโลกท่ามกลางการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจหลายๆกรอบความตกลงได้ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็ง ยกระดับมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยในตลาดโลก เพื่อเผยแพร่ความรู้เทคโนโลยี และกฎระเบียบเกี่ยวกับเครื่องสำอางอันเป็นประโยชน์ต่อสมาชิก อีกทั้งเพื่อประสานงานกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคอุตสาหกรรมในห่วงโซ่อุปาทานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอาง และภาคสังคม เพื่อประโยชน์ต่อสมาชิกและสังคมร่วมกัน
“ปัจจุบันในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎระเบียบ ผลจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจใหม่ๆ (FTA) การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยและการปรับปรุงการผลิตให้ได้มาตรฐาน เป็นต้น ซึ่งการรวมกลุ่มฯ ภายใต้สภาอุตสาหกรรมฯ ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะสามารถช่วยลดอุปสรรคต่างๆ ที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ได้ โดยทางกลุ่มฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานการพัฒนา ขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยไว้ ดังนี้
- ประสานงานกับทางภาครัฐ ภาควิชาการ และผู้ประกอบการ ในการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ มาตรฐานและภาษี ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาศักยภาพเครื่องสำอาง
- ประสานงานกับทางภาครัฐ ภาควิชาการ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรฐานและการพัฒนางานวิจัยเครื่องสำอางสมุนไพรไทย ให้มีศักยภาพและแข่งขันตลาดโลกบนแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์
- ประสานงานกับทางภาครัฐ ภาควิชาการ และผู้ประกอบการในการวางแผน และร่วมพัฒนาผลิตบุคคลากรในวงการวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ให้ตรงความสามารถเฉพาะด้านมากขึ้น
- ประสานงานกับทางภาครัฐ ในการหาแหล่งเงินทุนและการฝึกอบรม ในการสนับสนุนการปรับปรุงยกระดับมาตรฐานการผลิตเครื่องสำอางที่ดี (จีเอ็มพี) และพัฒนาระบบการประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์
- ประสานงานสร้างเครือข่ายกับกลุ่มอุตสาหกรรมห่วงโซ่อุปทานอื่น เพื่อหาแหล่งวัตถุดิบที่มีเทคโนโลยีใหม่ และมีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและสวยงาม
- การจัดประชุมเผยแพร่ความรู้ความคืบหน้าในประเด็นกฎระเบียบ การจดทะเบียนลิขสิทธิ์การค้า การพัฒนาเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีการผลิต ความรู้เชิงวิเคราะห์ด้านเปรียบเทียบความสามารถการแข่งขันเครื่องสำอางไทยในตลาดโลก โอกาสการค้าการลงทุน เป็นต้น รวมทั้งจัดเก็บเป็นฐานความรู้สำหรับเผยแพร่ให้กับสมาชิก หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนที่สนใจอีกด้วย” ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง กล่าว
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในฐานะประธานกลุ่มฯ และสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง จะสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มสมาชิก และร่วมมือกันทำงานเพื่อพัฒนาศักยภาพในการผลิตและพัฒนาอุตสาหกรรม ไม่เฉพาะเพื่อประโยชน์ของกลุ่มฯ แต่จะพิจารณาถึงผลกระทบ และความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศไทย อันเป็นภาระหลักของกลุ่ม เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเชื่อว่าความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของสมาชิกกลุ่มฯ จะสามารถนำพากลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามเป้าหมาย บรรลุวัตถุประสงค์ และมีความเจริญก้าวหน้าเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โทร. 0-2345-1013 โทรสาร 0-2345-1296-8