MOVIE: The Woman in Black

ข่าวบันเทิง Thursday January 26, 2012 10:23 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Horror / Suspense กำหนดฉาย 9 กุมภาพันธ์ 2011 บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง รอย ลี (The Ring, The Grudge, The Eye, Quarantine) กำกับ เจมส์ วัตกิ้นส์ (Eden Lake) เขียนบท เจน โกลด์แมน (Kick-Ass, Stardust, The Debt) นำแสดง แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ จาก Harry Potter I-VII) เซียแรน ไฮนด์ส (Munich, Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2) เจเน็ต แม็คเทียร์ (Tumbleweeds, Velvet Goldmine, Waking the Dead) เนื้อเรื่อง เมื่อทนายหนุ่ม อาเธอร์ คิปส์ (แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์) เดินทางจากลอนดอนมายังหมู่บ้านเล็กๆ เพื่อจัดการแบ่งทรัพย์สินให้กับเจ้าของคฤหาสน์ อีล มาร์ช เขาก็ต้องค้นพบความลับอันน่าสะพรึงกลัว และโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เมื่อพบว่ามีเด็กจำนวนมากเสียชีวิตอย่างปริศนา และความน่ากลัวก็คืบคลานเข้ามา เมื่อเขาถูกผู้หญิงปริศนาในชุดดำตามหลอกหลอน คิปส์ ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อไขปริศนา และหยุดยั้งวงจรแห่งความสยองนี้ให้ได้ สร้างจากวรรณกรรมสยองขวัญคลาสสิกของ ซูซาน ฮิล เรื่องราวของความสูญเสีย ความเศร้าโศก และการล้างแค้น ผลงานการแสดงเรื่องแรกของ แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจากการรับบทเป็น "แฮร์รี่ พ็อตเตอร์" ในแฟรนไชส์หนังหมื่นล้าน ร่วมด้วย เซียแรน ไฮนด์ส (Munich, Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2), เจเน็ต แม็คเทียร์ (Tumbleweeds, Velvet Goldmine, Waking the Dead) และ ลิซ ไวท์ (Vera Drake, Franklyn) The Woman in Black ถูกดัดแปลงให้เป็นบทภาพยนตร์โดย เจน โกลด์แมน (Kick-Ass, Stardust, The Debt) กำกับโดย เจมส์ วัตกิ้นส์ (Eden Lake) และอำนวยการสร้างโดย รอย ลี (The Ring, The Grudge, The Eye) โดยมีทีมงานคุณภาพไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพ ทิม มัวริส-โจนส์ (Snatch, Lock, Stock and Two Smoking Barrels), ผู้ออกแบบงานสร้าง เคฟ ควินน์ (Trainspotting, A Life Less Ordinary) และผู้ตัดต่อภาพ จอน แฮร์ริส (Kick-Ass, Stardust) จุดเริ่มต้น เมื่อนวนิยาย The Woman in Black ออกตีพิมพ์ในปี 1982 ผู้แต่งหนังสือ ซูซาน ฮิล ก็ไม่เคยคาดคิดว่า มันจะกลายเป็นวรรณกรรมที่ถูกเอาปดัดแปลงในหลายรูปแบบขนาดนี้ "ตั้งแต่แรกฉันเขียนขึ้นมา ฉันคิดว่ามันจะมีชีวิตอยู่บนหน้ากระดาษเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถูกนำไปดัดแปลงอยู่ในสื่อทุกรูปแบบที่คุณรู้จัก" The Woman in Black ได้รับการยอมรับว่าเป็นนิยายสยองขวัญที่สมบูรณ์แบบที่สุดชิ้นหนึ่ง โดยถูกนำไปดัดแปลงเป็นทั้งหนังโทรทัศน์, ละครวิทยุ, ละครเวที จนกระทั่งเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ปี 2012 ฮิล ให้ความเห็นว่าว่า "มันมีต้นกำเนิดมาจากหนังสือ ดังนั้นจึงอยู่ที่ศิลปะการนำไปดัดแปลง ฉันคิดว่าทั้งละครเวทีและหนังเรื่องนี้จับเอาจิตวิญญาณของหนังสือไว้ได้ดีที่สุด ในขณะเดียวกันก็หยิบมาตีความใหม่ เพื่อให้เข้ากับผู้ชมในยุคสมัยนี้" ถึงแม้ว่าผลงานของ ฮิล จะถูกนำไปดัดแปลงหลายชิ้นแล้ว แต่นี่คือครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี ที่ผลงานของเธอถูกทำขึ้นเงิน โดยเรื่องนี้ก็เข้ามาหาผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ด แจ็คสัน ในปี 1997 หลังจากที่เขาสร้าง Rob Roy โดยตัวแทนของ ฮิล ได้เข้ามาปรึกษา แจ็คสัน ในการนำ The Woman in Black มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ เขาเล่าว่า "สุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องที่ลำบากในการดัดแปลง หลายปีที่ผ่านมาเราพยายามหลายครั้งกับนักเขียนบทหลายคน แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกพอใจกับบทแต่ละครั้งที่ได้รับ" โชคดีที่ ไซม่อน โอ็คส์ ผู้อำนวยการสร้างและเป็นยผู้บริหารคนล่าสุดของ Hammer Film ก็อยู่ในช่วงพยายามปลุกชีวิตของสตูดิโอสยองขวัญที่รุ่งเรืองที่สุดในยุค 60-70 กลับขึ้นมา เขาคิดว่า The Woman in Black น่าจะเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการเริ่มต้น "ผมต้องการสร้างความกลัวที่แตกต่างออกไปจากหนังสยองขวัญในปัจจุบัน ที่ห่วงแต่การวิธีการฆ่าหรือจำนวนศพ มันจึงเป็นโอกาสที่ดีในการหยิบเรื่องเล่าสยองขวัญแนวโกธิคของ ซูซาน ฮิล มาทำให้เป็นหนัง" ทีมผู้สร้างได้ออกตามหาผู้เขียนบท ที่มีความสามารถพอที่จะตีความThe Woman in Black ในรูปแบบตัวเองที่ชัดเจนที่สุด แจ็คสัน เล่าว่า "หลังจากการตามหามานาน ในที่สุดเราก็พบว่า เจน โกลด์แมน คือคนที่เราต้องการร่วมทำงานด้วย เธอมีความตื่นเต้นกับโปรเจ็คของเรา เธอสามารถตีโจทย์แตกว่าตัวเองต้องการทำอะไรกับเรื่องนี้" โอ็คส์ เสริมต่อว่า "ผมเคยดูผลงานภาพยนตร์ที่มาจากการดัดแปลงบทของ เจน ผมก็รู้ว่าเธอเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด บทภาพยนตร์ของเธอทำให้ทุกอย่างถูกพัฒนาไปข้างหน้า เจมส์ วัตกิ้นส์ ได้บทและอ่านชอบ จนตัดสินใจเข้ามากำกับ ในขณะที่ แดเนียล ก็ได้อ่านในวันสุดท้ายองการถ่ายทำ Harry Potter และเขาก็ชอบมาก เจน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้ทีมงานที่ยอดเยี่ยมเข้ามาทำงาน" ซูซาน ฮิล ก็รู้สึกตื่นเต้นกับการดัดแปลงให้เป็นบทภาพยนตร์ "เมื่อ เจน ส่งบทภาพยนตร์มาให้อ่าน ฉันคิดว่ามันคือการดัดแปลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด การดัดแปลงเนื้อหาบางอย่างอาจทำให้แฟนหนังสือบางคนไม่พอใจ แต่สำหรับฉันแล้วไม่เลย เพราะเธอกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง เธอทำให้หนังมีแนวทางของตัวเอง ในขณะที่ยังคงหัวใจที่ฉันต้องการเล่าไว้" ความตั้งใจของ โกลด์แมน ก็คือการสร้างสมดุลระหว่างบรรยากาศและการดำเนินเรื่อง "มันเป็นหนังสือที่ดัดแปลงลำบาก มันถูกดัดแปลงอย่างยอดเยี่ยมในรูปแบบของละครเวที แต่สำหรับการทำให้เป็นภาพยนตร์ คุณต้องมีพื้นที่ในการเล่าที่มากกว่า และก็ยังต้องสร้างบรรยากาศที่จะปกคลุมช่วงเวลาทั้งหมด" ในขณะเดียว เจมส์ วัตกิ้นส์ ที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำหนังสยองขวัญ Eden Lake ก็ได้ทราบถึงบทภาพยนตร์ของ โกลด์แมน และก็ได้ติดต่อหาเธอเพื่อของอ่านบท "ตอนนั้นผมพัฒนาหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ของตัวเอง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ถูกสร้าง เมื่อผมได้อ่านบทของ เจน มันก็ตอบสนองต่อทุกสิ่งที่ผมต้องการรทำ มันมีทั้งความน่ากลัวและยังสะท้อนไปถึงอารมณ์และสภาพจิตใจ" การได้ทำงานร่วมกับ วัตกิ้นส์ ทำให้ โกลด์แมน เริ่มปรับแต่งบทภาพยนตร์ในทิศทางที่แน่นอน กระบวนการที่เธอเชื่อว่าจะคงเอาจิตวิญญาณของหนังสือเอาไว้ "ในบทดร้าฟ์แรกๆของเรา มีฉากที่ย้อนไปเล่าถึงความเป็นมาของผู้หญิงในชุดดำ แต่เมื่อมาคุยกันเราก็ปรับให้มันน้อยลง ฉันคิดว่าสิ่งนั้นจะช่วยห้หนังมีความแข็งแรง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องราวของผู้หญิงชุดดำ แต่เป็นประสบการณ์ของ อาร์เธอร์ ที่ค้นพบกับความลับที่สยดสยอง และเราก็จะค้นพบผ่านทางมุมมองของเขา" มันสำคัญสำหรับ ริชาร์ด แจ็คสัน ในการทำให้ The Woman in Black เข้าถึงได้กับคนดูที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ "พวกเราทำทุกอย่างเพื่อให้คนดูคิดว่า The Woman in Black เป็นหนังสยองขวัญที่ไม่ควรพลาด ด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความน่ากลัวของเรื่องราว หรือการได้เห็น แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ เข้ามารับบทนำ" แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ เป็น อาเธอร์ คิปส์ การหาตัวนักแสดงนำของหนัง อาร์เธอร์ คิปส์ ผู้กำกับ เจมส์ วัตกิ้นส์ ก็ได้มองหานักแสดงหนุ่ม ที่มีความสามารถในการผสมผสานความเศร้าและอ่อนไหว แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็น “แฮร์รี่ พ็อตเตอร์” ในแฟรนไชส์หนังหมื่นล้าน Harry Potter ถือเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนที่สุด "ผมได้พบกับ แดเนียล และได้คุยกันเป็นเวลานาน พวกเรามีมุมมองในตัวตนของ อาเธอร์ ที่เหมือนกัน เขาเป็นตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่ แดเนียล เคยแสดง และเป็นเส้นทางที่ท้าทายสำหรับเขาในการเข้าไปสำรวจ" ผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ด แจ็คสัน พูดถึงความโชคดีที่ได้ตัว แร็ดคลิฟฟ์ เข้ามาแสดง "มันเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างช่างลงล็อค พวกเราส่งบทภาพยนตร์ไปให้ แดเนียล ซึ่งเขาก็ได้อ่านทันทีเมื่อได้รับ เพราะเขาต้องนั่งเครื่องบินจากลอนดอนไปลอสแองเจลิส ทันทีที่เขาลงจากเครื่องบิน เขาก็โทรศัทพ์บอกตัวแทนว่าาต้องการแสดงนำในหนังเรื่องนี้" สำหรับจุดมุ่งหมายต่อไปของเขา แร็ดคลิฟฟ์ ต้องการที่จะได้รับการยอมรับมากกว่าการเป็น แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ที่ทำให้เขามีชื่อเสียง "ผมภูมิใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับ Harry Potter แต่ผมเองก็ต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมจริงจังกับการแสดงหนัง และผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการมองหาวัตถุดิบที่น่าสนใจ" ด้วยบทภาพยนตร์ของ โกลด์แมน และการได้คุยกับผู้กำกับ วัตกิ้นส์ ก็ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับ แร็ดคลิฟฟ์ เมื่อเขายอมรับว่า อาร์เธอร์ คิปส์ เป็นตัวละครที่ท้าทายที่สุด "อาเธอร์ เป็นตัวละครที่มีมิติรอบด้าน และก็ยังมีความนิ่งในตัวของเขาด้วย นี่เป็นตัวละครที่น่าสนใจ และผมก็ดีใจที่ได้รับโอกาสในการแสดง" แร็ดคลิฟฟ์ อธิบายต่อว่า "ครั้งแรกที่ผมพูดคุยกับ เจมส์ เขาได้ยกคำพูดของ สแตนลีย์ คูบริก ที่ว่า หนังที่มีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติ มีต้นกำเนิดจากจินตนาการในโลกหลังความตาย นี่คือเรื่องราวของผู้ชายที่สูญเสียภรรยา เขาไปที่บ้านหลังหนึ่งและเริ่มเห็นผู้หญิงที่ตายไปแล้ว สาเหตุที่เขาไม่หนีไปก็เพราะต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง เขาต้องการทำให้แน่ใจว่าภรรยาของเขาได้ไปสบายแล้ว" แร็ดคลิฟฟ์ ยังได้อธิบายถึงตัวละครที่เขารับบทต่อว่า "อาเธอร์ สูญสิ้นแรงใจในการใช้ชีวิต ตั้งแต่ภรรยาของเขาเสียเมื่อ 4 ปีก่อน เขาไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ แม้แต่กระทั่งลูกชายของตัวเอง อาเธอร์ รักลูกแต่ไม่สามารถมอบความสุขให้กับเขาได้ เพราะเขาเองก็ไม่มีความสุขที่จะแบ่งปันให้คนอื่น" สำหรับผู้กำกับ เจมส์ วัตกิ้นส์ แล้ว แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ ได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของ อาเธอร์ คิปส์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการให้ผู้ชมเห็น "แดเนียล มีความทุ่มเทกับงานที่ทำ เขามอบความไว้วางใจให้กับผม และอนุญาตให้ผมพาเขาไปในโลกที่ไม่คุ้นเคย เพราะเขาตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่า จะผลักดันตัวเองไปในทิศทางที่แตกต่างจากโลกของพ่อมด" วัตกิ้นส์ คิดว่าผู้ชมจะต้องแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของ แร็ดคลิฟฟ์ ในบทบาทนี้ "มันเป็นการเปลี่ยยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของ แดเนียล ในฐานะนักแสดงผู้ใหญ่เต็มตัว ผมคิดว่าทุกคนจะทึ่งไปกับการแสดงของเขา" ผู้เขียนบท เจน โกลด์แมน เสริมต่อว่า "ฉันไม่เคยเห็นใครบางคนทุ่มตัวเองลงไปกับสิ่งที่ทำเท่ากับ แดเนียล พวกเราพบกันในช่วงของการพัฒนาบท และก็ได้พูดคุยกันถึงตัวละครนี้ มันน่าทึ่งที่เขานำข้อมูลและรายละเอียดที่ได้จากการพูดคุยมาใช้กับการแสดง" ในขณะที่ผู้แต่งนิยาย ซูซาน ฮิล ก็คิดว่าผู้ชมจะต้องเซอร์ไพรซ์ไปกับการแสดงของ แร็ดคลิฟฟ์ "ฉันคิดว่าคงไม่ไม่ใครเหมาะสมไปกว่าเขา แดเนียล เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า The Woman in Black ไม่ใช่แค่เรื่องสยองขวัญ แต่มันเกี่ยวกับความเศร้าและการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันคิดเสมอ เขาเข้าใจมัน เขาเข้าใจในสิ่งที่ฉันเขียน" การสร้างโลกของ The Woman in Black นอกจาก แร็ดคลิฟฟ์ หนังก็ยังมีทีมนักแสดงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น เซียแรน ไฮนด์ส, เจเน็ต แม็คเทียร์ และ ฌอน ดูลี่ย์ ที่เป็นผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ครายธิน กิฟฟอร์ด ผู้กำกับ เจมส์ วัตกิ้นส์ เล่าว่า "ภาพลักษณ์ของชาวบ้านถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เราไม่ต้องการให้พวกเขาดูเป็นพวกป่าเถื่อนหรือหลังเขา ผมไม่ต้องการให้เหมือนกับหนังสยองขวัญที่ตัวเอกเดินเข้าไปในโรงเชือด ผมต้องการให้ชาวบ้านเป็นเหมือนคนปกติ ที่มีความเจ็บปวดจากความสูญเสียในอดีต ความกลัวและความหวาดระแวงที่อยู่ภายใต้พฤติกรรมของพวกเขา" วัตกิ้นส์ รู้สึกตื่นเต้นกับการรวบรวมนักแสดงมากฝีมือในเรื่องนี้ "มันเป็นความฝันสำหรับผู้กำกับ เมื่อนักแสดงที่คุณชื่นชอบเข้ามาแสดงในหนังที่คุณกำกับ ผมชอบ เซียแรน ไฮนด์ส ในฐานะนักแสดง ผมติดตามผลงานของเขามานาน และก็คิดว่าเขาแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบกับบทที่ได้รับ" การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดจากหนังสือ ก็คือการให้ คิปส์ มีลูกชายตั้งแต่ต้นเรื่อง แทนที่จะมีลูกหลังจากที่เขากลับจากครายธิน กิฟฟอร์ด ตามอย่างหนังสือ โดยในฉากแรกของหนัง คิปส์ ก็รู้สึกเสียใจเมื่อต้องห่างจาก โจเซฟ ลูกของเขาเพื่อเดินทางไปทำงาน ซึ่งก็กลายเป็นจุดสำคัญของเรื่อง และเพิ่มผลกระทบทางอารมณ์ เมื่อเขาค้นพบความลับของหมู่บ้านนี้ ถึงแม้นิยายของ ซูซาน ฮิล จะเล่าเรื่องราวตามสไตล์นิยายสยองขวัญโกธิค แต่สำหรับการดัดแปลงของ เจน โกลด์แมน แรงบันดาลใจของเธอก็มาจากแหล่งที่แปลกที่สุด นั้นก็คือหนังสยองขวัญสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง The Ring และ The Grudge เธออธิบายว่า "ถึงแม้ว่ามันจะมาจากคนละยุค แต่ในเรื่องของบรรยากาศและอารมณ์ก็มีความใกล้เคียงกัน และมันก็ยังสร้างความสยองที่สุดเหมือนกันอีกด้วย" สำหรับ เจมส์ วัตกิ้นส์ การผสานกันระหว่างสองวัฒนธรรมเป็นแนวทางที่น่าสนใจ "การพาดผ่านกันระหว่างโลกยุควิคตอเรียนและ J-Horror เป็นแนวทางที่สดใหม่และไม่เคยมีใครทำ ผมพูดคุยกับผู้กำกับภาพ ทิม มัวริส-โจนส์ เกี่ยวกับทิศทาง ผมไม่ต้องการให้มันออกมาดูเป็นหนังพีเรียด ผมต้องการถ่ายทำมันแบบร่วมสมัย" การสร้างบรรยากาศของบ้าน อีล มาร์ช ที่ถูกตัดขาดจากบ้านหลังอื่นในหมู่บ้าน ครายธิน กิฟฟอร์ด เนื่องจากช่วงเวลาน้ำขึ้นเส้นทางจะถูกตัดขาด วัตกิ้นส์ ก็ได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบงานสร้าง เคฟ ควินน์ ที่ต้องการให้สีสันเพื่อจับความสนใจ มากกว่าที่จะใช้ความซีดเซียวเหมือนหนังสยองขวัญทั่วไป เธออธิบายว่า "พวกเรามีการใช้สีสันที่สื่อถึงความผุพังและความตาย ทั้งสีม่วง ดำ และแดงเลือดหมู ฉันต้องการให้มันมีความงดงาม แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นบ้านผีสิง" ควินน์ เล่าถึงกระบวนการสร้างบ้าน อีล มาร์ช โดยเริ่มจากการหาสถานที่ถ่ายทำ "ในช่วงเริ่มต้น พวกเรามีทีมงานหาสถานที่ออกตามหาบ้านที่เหมาะสมที่สุด มันต้องมีพลังงานเป็นของตัวเอง ที่เมื่อคุณมองเห็นบ้านครั้งแรกก็จะรู้สึกว่ามันมีความเป็นมา และเมื่อเราพบบ้านหลังดังกล่าวมันก็แทบที่จะจ้องคุณกลับ มันเป็นสถาปัตยกรรมจาโคเบียน และหลังคาของมันก็มอบความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวให้กับเรา" การหาสถานที่ที่จะใช้เป็นหมู่บ้าน ครายธิน กิฟฟอร์ด เป็นสิ่งที่ท้าทายไม่แพ้กัน ควินน์ อธิบายว่า "ในศตวรรษที่ 21 ทุกหนทุกแห่งที่เราไปล้วนมีสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ พวกเราต้องหาสถานที่ที่เหมือนกับการเดินทางย้อนเวลา และหมู่บ้านที่เราพบใน ฮาลตัน ฮิล ที่อยู่ใจกลางของ ยอร์คเชียร์ เดลส์ ก็จะไม่เหมือนที่ไหนในอังกฤษ มันไม่ได้ถูกพัฒนามากจนเกินไป และบ้านทุกหลังในนี้ก็เป็นบ้านที่เคยอยู่ตรงนี้เมื่อ 400 ปีก่อน" วัตกิ้นส์ ได้กล่าวชื่นชมผู้ออกแบบงานสร้างของเขา "เคฟ เป็นนักออกแบบงานสร้างที่ยอดเยี่ยม เธอเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามทำ พวกเราออกแบบระเบียงที่มีความยาว ดังนั้นผมจะได้ถ่ายทำให้ดูลึกตามความรู้สึกแบบหนังของ โปลันสกี้ ความรู้สึกที่จ้องระเบียงจากประตูที่อยู่ปลายทาง และเห็นเพียงแค่ความมืดที่ปกคลุมอยู่ด้านหน้า ผมคิดว่าองค์ประกอบที่สำคัญของหนังก็คือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น อะไรที่อยู่ตรงมุมภาพหรืออะไรที่เกิดขึ้นนอกจอ และนั้นก็คือสิ่งที่เราสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยการออกแบบงานสร้าง" ผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ด แจ็คสัน พูดถึงสาเหตุของการเลือกใช้เลนส์ระยะไกลเพื่อถ่ายทำว่า "พวกเราถ่ายทำด้วยสัดส่วนภาพ 2.35:1 แทนที่จะเป็น 1.85:1 ซึ่งเป็นทางเลือกที่แตกต่าง ที่คุณอาจได้เห็นในหนังคาวบอยตะวันตกหรือหนังมหากาพย์ แต่เมื่อคุณคิดถึงหนังสยองขวัญในพื้นที่จำกัด คุณก็จะคิดถึงเลนส์ขนาด 1.85:1 แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นการตัดสินใจที่ถูก โดยภาพที่ออกมาก็ดูยิ่งใกญ่และยังสามารถสร้างบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร" ผู้กำกับภาพ ทิม มัวริส-โจนส์ ได้พูดถึงแนวทางการถ่ายทำที่เขาได้จาก วัตกิ้นส์ ว่า "พวกเราให้แสงในฉากที่ถ่ายทำจากแหล่งที่มาเพียงที่เดียว หนังหลายเรื่องจะใช้ไฟหนึ่งชุดถ่ายไปที่ตัวละครนำ และไฟชุดอื่นๆเพื่อกำจัดความมืดในส่วนที่เหลือ และใช้แบล๊คไลท์ในการหักลบแสงสว่างในส่วนที่ต้องการให้มืด แต่เราพยายามใช้แค่แสงจากแหล่งที่มาเพียงแค่ที่เดียว เพื่อให้เกิดความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างความสว่างและความมืด" เครื่องแต่งกายและเมคอัพใน The Woman in Black นักแสดงชาวอังกฤษ ลิซ ไวท์ รับบทเป็นผู้หญิงในชุดดำ แสดงความเห็นว่า จริงๆแล้วตัวละครของเธอน่าสงสาร "เมื่อคุณอ่านหนังสือคุณก็จะเข้าใจถึงการสูญเสียลูกชายของเธอ และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เธอสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวพี่สาว พ่อ พี่สะใภ้ และการได้เห็นพี่สาวของเธอสละชีวิตของลูกสาว ก็นำไปสู่หัวใจที่แตกสลายโดยสมบูรณ์แบบ" ไวท์ เผยว่าเครื่องแต่งกายและเมคอัพช่วยทำให้เธอเข้าถึงตัวละครมากขึ้น "ทันทีที่คุณอยู่ในคราบของตัวละคร มันก็เหมือนคุณถูกตัดขาดจากคนอื่น คุณไม่สามารถมองคนอื่นแบบปกติได้ คุณจะรู้สึกทันทีว่าตัวเองอยู่ในโลกของผู้หญิงในชุดดำ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม เพราะคุณสามารถใช้ความรู้สึกนั้นสร้างบรรยากาศที่เข้ากับบท" ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย คีธ แม็ดเดน ใช้เวลาในการศึกษาชุดไว้ทุกข์สมัยวิคตอเรียน เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมกับลุคของผู้หญิงในชุดดำ เขาเล่าว่า "ในสมัยวิคตอเรียน ถ้าผู้หญิงสูญเสียสามีหรือลูก เธอก็จะต้องแต่งตัวแบบนี้ ผมต้องการให้เธอเป็นเหมือนเจ้าสาวแห่งความตาย มีผ้าคลุมหน้าสีดำที่หนา เนื้อผ้าที่ใช้คือผ้าแพรย่น ที่ดูไม่มีรูปทรงและไร้ชีวิตชีวา มันช่วยเสริมสร้างความน่ากลัวให้กับเธอ" สำหรับการแต่งหน้าทำผม เจเรมี่ วู้ดเฮด ก็ได้เล่าถึงการทำงานกับตัวละครที่มีความซับซ้อน ดำมืด และน่ากลัวอย่างเช่นผู้หญิงชุดดำว่า "มันสนุกมาก นี่คือตัวละครที่ยืนอยู่คนละด้านกับสีสันและความมีชีวิตชีวา คุณได้สร้างบางสิ่งที่การแต่งหน้าคือส่วนสำคัญในการช่วยบอกตัวตนของตัวละครนี้" วู้ดเฮด ได้อธิบายถึงแนวทางในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูน่าขนลุก "แน่นอนว่าเธอเป็นผี แต่ผมไม่ต้องการทำให้เธอดูซ้ำซาก เราทำให้ผิวหนังของเธอแห้งสนิท และกำลังผุสลายไปตามกาลเวลา ซึ่งมันก็ช่วยเพิ่มความรู้สึกเศร้าโศกและค่อยๆถูกกัดกินเหมือนกับความเป็นมาของเธอ มันสำคัญที่จะไม่ทำให้เธอกลายเป็นปีศาจ เธอเป็นใครบางคนที่ทำเรื่องร้ายแรงและกำลังโกรธแค้น แต่เธอก็เคยมีความสดใสและงดงามมาก่อน" ไวท์ เผยถึงประสบการณ์ในการเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงในชุดดำว่า "มันไม่ใช่กระบวนการที่ง่ายเลย ฉันต้องเข้ากองถ่ายเร็วกว่าคนอื่นประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมงเพื่อแต่งหน้า โดยมีทั้งหมดสามชั้นจากวัสดุที่ต่างกัน ติดลงไปบนใบหน้าของคุณ และยังต้องมีพวกวัสดุเคมีอื่นๆติดตามร่างกาย เพราะเธอโผล่มาจากใต้ดินและกำลังเริ่มที่จะเน่า" ผู้กำกับ วัตกิ้นส์ สรุปถึงสิ่งที่เขาอยากให้คนดูรู้สึกกับการดูหนังเรื่องนี้ว่า "ผมต้องการทำหนังสยองขวัญคลาสสิก ให้ความรู้สึกสยดสยองที่ค่อยๆคืบคลายเข้าไปหาคนดูอย่างช้าๆ และก่อให้เกิดความกลัวขึ้นมาจากภายในจิตใจ ผมไม่ต้องการทำให้คนดูตกใจหรือสะอิดสะเอียน แต่อยากให้ทุกคนเกิดความสงสัย อย่างเช่นฉากที่ อาเธอร์ มองผ่านกระจกและคิดว่ามีอะไรอยู่ช้างนอกหรือไม่ และเมื่อเปลี่ยนเป็นมุมมองจากนอกตัวบ้าน ทันใดนั้นหน้าของผู้หญิงในชุดดำก็โผล่ขึ้นมาข้างๆเขา ผมคิดว่านั้นแหละคือความน่ากลัวที่แท้จริง" ทีมนักแสดง แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ (รับบทเป็น อาร์เธอร์ คิปส์) แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ เกิดวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 เขาโด่งดังและเป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็น แฮร์รี่ พอตเตอร์ พ่อมดน้อยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวรรณกรรมชุดของ เจ. เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ปี 2001-2011 รวมทั้งหมด 8 ภาค โดยทำเงินรวมทั่วโลกไปมากกว่า 7,700 ล้านเหรียญสหรัฐ แดเนียล เกิดใน ฟูแล่ม ลอนดอน เป็นลูกคนเดียวของ อลัน แร็ดคลิฟฟ์ กับ มาร์เซีย เกรส์แฮม ถึงแม้พ่อแม่ของเขาไม่ค่อยอยากให้ลูกเข้าวงการแสดงซักเท่าไร แต่ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 1999 แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ ก็เริ่มมีผลงานการแสดงในหนังโทรทัศน์ของบีบีซีเรื่อง David Copperfield โดยรับบทเป็น เดวิด คอปเปอร์ฟิวส์ ตอนเด็ก และภาพยนตร์แนวสายลับเรื่องเรื่อง The Tailor of Panama นำแสดงโดย เพียร์ส บรอสแนน และ เจฟฟรี่ย์ รัช ระหว่างการถ่ายทำ Harry Potter แดเนียล ก็ยังมีผลงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นละครเวที Equus ที่เขาได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม รวมถึงละครโทรทัศน์เรื่อง My Boy Jack เรื่องราวของทหาร ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ December Boys หนังออสเตรเลียในเรื่องราวของกลุ่มเด็กชายที่หลบหนีออกจากบ้านเด็กกำพร้า แดเนียล เพิ่งถูกรับเลือกเป็น Entertainer of the Year ประจำปี 2011 ของนิตยสาร Entertainment Weekly โดยเขาถือเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่มีรายได้มากที่สุดของเกาะอังกฤษ และอยู่ในอันดับหกของนักแสดงที่มีรายได้สูงสุดของนิตยสาร Forbes เขายังเคยขึ้นปกนิตยสารมาแล้วนับไม่ถ้วนตลอดทศวรรษของการรับบทเป็น แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ เซียแรน ไฮนด์ส (รับบทเป็น มิสเตอร์ เดลี่ย์) ผลงาน >>> The Debt, Munich, Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2, Miami Vice เจเน็ต แม็คเทียร์ (รับบทเป็น มิส เดลี่ย์) ผลงาน >>> Tumbleweeds, Velvet Goldmine, Waking the Dead, Sense and Sensibility ลิซ ไวท์ (รับบทเป็น เจนเน็ท ฮัมฟรี่ย์) ผลงาน >>> Vera Drake, Franklyn, Life on Mars, The Fixer and A Thing Called Love ทีมผู้สร้าง เจมส์ วัตกิ้นส์ (ผู้กำกับ) ผลงาน >>> Eden Lake, The Descent 2, My Little Eye เจน โกลด์แมน (ผู้เขียนบท) ผลงาน >>> Kick-Ass, X-Men: First Class, Stardust, The Debt รอย ลี (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> The Ring, The Grudge, The Eye, Quarantine ทิม มัวริส-โจนส์ (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> Lock Stock & Two Smoking Barrels, Snatch, Envy เคฟ ควินน์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Shallow Grave, Trainspotting, A Life Less Ordinary, Layer Cake จอน แฮร์ริส (ผู้ตัดต่อภาพ) ผลงาน >>> 127 Hours, Kick- Ass, Layer Cake, Stardust

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ