กรุงเทพฯ--1 ก.พ.--MMM Digital
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่ดาวอันไกลโพ้น....
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ประโยคนี้ได้ปรากฏขึ้นบนจอภาพยนตร์ทั่วโลกเป็นครั้งแรกและตำนานแห่งความทันสมัยก็ได้เกิดขึ้น ผู้คนนับร้อยล้านคนได้รู้จักกับตำนานการผจญภัยที่สร้างความประทับใจให้พวกเขาในแบบที่คาดไม่ถึง ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ตอน The Empire Strikes Back และ Return of the Jedi และ Special Editions ทั้งสามตอนนี้ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สื่อถึงคน 2 ยุค 2 สมัย ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยที่ดำเนินเรื่องราวไปอย่างรวดเร็วได้เกิดขึ้นบนจักรวาลในรูปแบบใหม่ที่น่าตื่นเต้น มีการออกแบบมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการและมีความสนุกสนานอย่างไม่รู้จบ ภาพยนตร์มีอิทธิพลต่อผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนเพราะเนื้อเรื่องที่มีความเป็นสากลและเป็นอมตะ ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว รวมถึงระหว่างเทคโลยีกับมนุษย์ การเฉลิมฉลองความกล้าหาญ และศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของแต่ละคน
ตำนานการผจญภัย Star Wars เป็นเรื่องราวที่มีความทันสมัยที่แต่งขึ้นมาตามจินตนาการของจอร์จ ลูคัส โดยลูอัสได้สร้างตำนานใหม่เรื่องนี้ให้อัดแน่นไปด้วยองค์ประกอบที่เป็นที่นิยมของชาวอเมริกัน รวมถึงภาพยนตร์ของชาวตะวันตก พวกอันพาล และเติมสีสันเรื่องราวซามูไรของชาวญี่ปุ่น ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ยังสะท้อนไปถึงคดีวอเตอร์เกต เวียตนามและในความสับสนอลหม่านภายในประเทศช่วงอื่นๆ ที่เหมือนจะเป็นการบั่นทอนภาพของฮีโร่สำหรับชาวอเมริกันที่เสียจริตให้ลดลง
สำหรับตำนานการผจญภัยของ Star Wars ลูคัสเลือกที่จะนำสิ่งเตือนใจทั้งหลายนี้มารวมกัน เสื้อผ้าล้ำสมัยที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของโครงสร้างนิยาย การเดินทางของฮีโร่ที่ยาวนานนับร้อยปี ซึ่งเป็นความศิวิไลซนับร้อยปี มีการผสมผสานกันระหว่างสมัยก่อนและสมัยใหม่ โดยตำนานของ Star Wars ครั้งใหม่นี้จะสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งเด็กและผู้สูงอายุ
สำหรับ STAR WARS: EPISODE I THE PHANTOM MENACE ในครั้งนี้ ลูคัสได้พาเราย้อนกลับไปที่ต้นกำเนิด เมื่อดาร์ธเวเดอร์คือเด็กชายวัย 9 ขวบผู้มีความหวังนามว่า อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ และ โอบีวัน เคโนบี อัศวินเจไดหนุ่มผู้มุ่งมั่น ในปฐมบทนี้มีความอลังการด้านงานศิลป์ การออกแบบ เครื่องแต่งกาย สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี มีการติดตามการผจญภัยของอนาคินเมื่อเขาต้องไล่ตามความฝันและเผชิญหน้ากับความกลัวท่ามกลางความวุ่นวายสับสนในจักรวาล
ที่มาและการออกแบบ
การนำเอพพิโซด 1 มาสู่จอภาพยนตร์เป็นช่วงการเดินทางนับหลายปีของการวางแผนและการสร้าง มีการเริ่มงานขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1994 จอร์จ ลูคัสได้นั่งเขียนบทภาพยนตร์ด้วยลายมือลงในแฟ้มที่เขาใช้เขียนภาพยนตร์ทุกเรื่อง หลังจากนั้น 5 ปี ใช้เวลาอยู่ 3 ประเทศ ผู้ออกแบบ ผู้ประพันธ์ดนตรี นักแสดงและทีมงานนับพันคน ผู้สร้างสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ชื่อดังรุ่นใหม่ รวมถึง “การถ่ายทำหลังกองถ่ายดิจิตอล” คนแรกของภาพยนตร์ สุดท้ายแล้วภาพยนตร์ตอนแรกของ Star Wars ในช่วงเวลา 16 ปีในรูปแบบใหม่ก็ได้มาสู่จอภาพยนตร์ทั่วโลก
ตอนที่ลูคัสกำลังเขียนเรื่องราวต้นฉบับของ Star Wars ผมสร้างจุดกำเนิดของเอพพิโซด 1 ขึ้นมานานกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในระหว่างขั้นตอนที่เขาได้สร้างเรื่องราวภูมิหลัง “มันเป็นแค่โครงร่างสั้นๆ ที่มีองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ” ลูคัสจำได้ว่า “แต่มันมีโครงเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปไม่มากนักในช่วงหลายปีนี้”
แน่นอนว่าในช่วงนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหยิบเรื่องราวความหลังนั้นมาสร้างเป็นภาพยนตร์ จนกระทั่ง Star Wars ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก “จากนั้นทุกคนก็ถามว่า ‘คุณจะสร้างกี่ตอน?’” ลูคัสเล่าว่า “ผมเลยคิดว่าผมย้อนกลับไปสร้างเรื่องราวความเป็นมาของเรื่องราวต้นฉบับไตรภาคได้ …”
ตัวละครต่างๆ และโลกที่ลูคัสจินตนาการขึ้นมาสำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ไม่ใช่การสร้างขึ้นมาด้วยเอ็ฟเฟ็กต์แบบสมัยก่อน แต่เมื่อเขาได้เห็นการพัฒนาระบบดิจิตอของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ในปี 1993 ที่สร้างขึ้นโดย Industrial Light & Magic บริษัทที่ลูคัสก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1970 เพื่อดูแลเรื่องเอ็ฟเฟ็กต์ของภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ลูคัสรู้ว่า ILM เกิดขึ้นมาเพื่อพิชิตความท้าทายเรื่องการผสมผสานดิจิตอลแอนิเมชั่นให้แนบเนียนกับไลฟ์แอ็คชั่นในภาพยนตร์ Star Wars เรื่องใหม่ “ภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park คือประวัติศาสตร์สำคัญตัวจริง” ลูคัสจำได้ว่า “หนังเรื่องนั้นมาพร้อมกับตอนปิดกล้องเรื่อง The Young Indiana Jones Chronicles (ซีรี่ส์ทางทีวีของลูคัสที่ได้รับรางวัล) ทำให้ผมถามตัวเองว่าจะสร้างอะไรต่อดี” และตอนใหม่ของตำนาน Star Wars คือคำตอบ
ช่วงเวลา 1 ปีครึ่งหลังมีการพัฒนาเอ็ฟเฟ็กต์นี้ขึ้นมา ลูคัสได้เริ่มเขียนเอพพิโซด 1 ของตำนานการผจญภัยที่เป็นเรื่องสำคัญของเขา แต่เขาก็ต้องพบกับความท้าทายที่ยากจะจัดการหลายอย่าง ผู้ชมทั่วโลกรู้จุดจดของตำนานการผจญภัยไปแล้ว แต่ตอนนี้ลูคัสต้องย้อนกลับไปสร้างต้นกำเนิดของเรื่องราว ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีความสอดคล้องกับภาพยนตร์ทั้ง 3 ตอน (เอพพิโซด 4-6) ที่มีมาแล้วก่อนหน้านี้ บวกกับอีก 2 ตอนที่จะตามมา (เอพพิโซด 2 และ 3)
ซึ่งความท้าทายเหล่านี้ก็ทำให้เห็นถึงโอกาสสุดวิเศษอย่างชัดเจน นั่นคือการสร้างตำนานการผจญภัยที่มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยความคิดของการสานต่อมหากาพย์เรื่องราวเป็นที่วิจารณ์ครั้งหนึ่งตั้งแต่ที่มีการเริ่มสร้าง Star Wars “ท้ายที่สุดจะเป็นภาพยนตร์ 6 ตอนที่มีความยาวเรื่องละ 12 ชั่วโมงโดยประมาณ” ลูคัสกล่าวชัดเจนว่า “ตลอดช่วงที่เขียนและสร้างเอพพิโซด 1 ผมมุ่งความสนใจไปที่ 10 ปีหลังจากที่ภาพยนตร์ไตรภาคตอนใหม่เสร็จสิ้นแล้ว แล้วทุกคนจะได้ดูภาพยนตร์ทั้ง 6 ตอนพร้อมกันอย่างที่ตั้งใจเอาไว้”
ลูคัสเปรียบเทียบโครงเรื่องของตำนานและเนื้อหาของตำนานการผจญภัยกับองค์ประกอบของดนตรีไว้ว่า “ในส่วนหนึ่งของตำนานการผจญภัย Star Wars ก็เหมือนกับธรรมชาติของวงซิมโฟนี” เขาอธิบายว่า “ผมมีดนตรีบางทำนองที่ผมตั้งใจเล่นซ้ำ แม้มีคอร์ดที่ต่างกันแต่ก็ยังเล่นวนซ้ำอยู่”
สิ่งสำคัญเหล่านี้สะท้อนถึงให้เห็นถึงการเปรียบเทียบระหว่างเรื่องราวของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ในเอพพิโซด 1 กับ ลุค ซึ่งเป็นลูกชายในอนาคตของอนาคินในต้นฉบับไตรภาค “ในภาพยนตร์ 3 ภาคแรกผมถ่ายทอดเรื่องราวที่มีความพิเศษ” ลูคัสเล่าต่อว่า “สำหรับไตรภาคใหม่นี้ผมจะถ่ายทอดเรื่องราวที่คล้ายกับเรื่องราวเดิม โดยมีหลายอารมณ์ ความรู้สึก ช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจที่คล้ายกัน” ประเด็นสำคัญหนึ่งที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งคือเรื่องความกล้าหาญ เช่น การออกจากบ้าน การทิ้งความสบายเพื่อตามหาความฝันและเผชิญกับความเสี่ยง ในตำนานการผจญภัย Star Wars ทั้งอนาคินและลุคต่างแสดงให้เห็นถึงความกล้านี้ แต่มันพาพวกเขาไปในทิศทางที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
องค์ประกอบของท่วงทำนองในเอพพิโซด 1 มีการสะท้อนและผสมผสานถึงประเด็นสำคัญอื่นๆ ในเรื่อง รวมถึงความสมดุลระหว่างความดี ความชั่วร้าย การค้นพบและสิ่งที่ลูคัสเรียกว่า “ความสัมพันธ์แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย” นี่คือสิ่งที่ตัวละครมีความเกี่ยวข้องกันและพึ่งพากันเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายและเพื่อความอยู่รอด เพราะฉะนั้นจึงมีตัวละครหลักหลายตัวและมีเรื่องราวที่มีความสำคัญใกล้เคียงกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกถักทออย่างละเอียดและมีการทำงานร่วมกันเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว
ลูคัสมีความหลงใหลในความสลับซับซ้อนและโครงเรื่องที่มีการผสมผสานกัน โดยเป็นการย้อนกลับไปหาการปรับโฉมผลงานของเขาโครงเรื่องที่มีความซับซ้อนและมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นพร้อมกันในเรื่อง American Graffiti ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์ทั่วโลกใช้หลักการนี้อยู่บ่อยๆ ในเอพพิโซด 1 ลูคัสยังคงทดลองกับโครงเรื่อง มีการปรับปรุงประเด็นเรื่องในจุดที่เรื่องราวทั้ง 5 เกิดขึ้นพร้อมกันในตลอดภาพยนตร์
การสร้างโครงเรื่องของเอพพิโซด 1 เกี่ยวข้องกับวุฒิสมาชิกพัลพาทีน นักการเมืองทรงอิทธิพลที่เคลื่อนไหวอย่างลับๆ เพื่อรวมอำนาจของเขาในช่วงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วสาธารณัฐ ในขณะที่รัฐบาลเกิดความอ่อนแอจนระบบราชการตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เหตุการณ์ที่เจาะจงขึ้นมาภายใต้โครงสร้างที่วางพัลพาทีนไว้ในจุดสำคัญแห่งความขัดแย้งระหว่างสมาพันธ์การค้าอันยิ่งใหญ่ และดาวเคราะห์นาบูขนาดเล็กที่มีความสงบสุข นาบูถูกคุกคามจากอำนาจแห่งการผนึกกำลังขององค์กรการค้าอันร่ำรวยที่เริ่มมองข้ามข้อจำกัดของรัฐบาลแห่งจักรวาลที่อ่อนกำลังลง
ราชินีสาวแห่งนาบูพบว่าตนได้เผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก เพื่อความสงบสุขแล้วเธอจึงต้องเลือกว่าจะสละอุดมการณ์ต่างๆ ของเธอทิ้งไป เมื่อสงครามคืบคลานมาสู่ประชากรของเธอหรือไม่
ผู้ที่ถูกส่งตัวเข้าไปในวิกฤติกาลนี้เพื่อเจรจาต่อรองการแก้ปัญหาคืออัศวินเจไดทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ความสงบสุขและความยุติธรรมแห่งจักรวาล ผู้เตรียมการของความขัดแย้งทางการเมืองคือท่านอาจารย์เจได ไควกอน จินน์ และโอบีวัน เคโนบี ลูกศิษย์ของเขาที่พบว่าสมาพันธ์การค้าจะปลดปล่อยอิทธิพลอันทรงพลังออกมาเพื่อเปิดศึกต่อสู้กับนาบู หากเจไดทั้งสองไม่สามารถพิชิตได้ ชะตากรรมของโลกจะต้องตกอยู่ในความน่าสะพรึงกลัว
ในระหว่างการเดินทางของพวกเขา ไควกอนได้พบกับ อนาคิน เด็กหนุ่มผู้เป็นทาสรับใช้บนดวงดาวทะเลทรายทาทูอิน ไควกอนสัมผัสได้ว่าอนาคินคือผู้ที่ถูกกำหนดเอาไว้ว่าจะนำสมดุลมาสู่พลัง เขาจะต้องตัดสินใจอย่างซื่อสัตย์ในการฝึกฝนอนาคินให้เป็นอัศวินเจได ซึ่งในเวลาเดียวกันอนาคินก็เริ่มเป็นมิตรกับราชินีแห่งนาบู
เพื่อการสร้างสีสันให้เรื่องราวและตัวละครเหล่านี้ ลูคัสเลือกที่จะกลับมานั่งแท่นผู้กำกับจากที่เว้นช่วงไปนานกว่า 20 ปีที่เขาสิ้นสุดการทำหน้าที่ควบคุม Star Wars ภาคต้นฉบับ “ผมคิดว่าผมคงต้องมากำกับเอพพิโซด 1 ตั้งแต่เริ่ม” เขาเล่าว่า “เพราะภาพยนตร์เกี่ยวเนื่องกับแนวคิดจากประสบการณ์ที่หลากหลาย” และลูคัสคิดว่ามันจะประหยัดเวลาและทุ่นแรงไปได้มากหากเขากำกับด้วยตัวเอง “ผมจะได้ไม่ต้องคอยเถียงหรืออธิบายเรื่องต่างๆ ให้ผู้กำกับฟัง” เขากล่าวเสริมพร้อมหัวเราะ
บุคคลสำคัญที่ช่วยลูคัสนำจินตนาการของเขามาสู่จอภาพยนตร์ได้ คือ ผู้อำนวยการสร้างริค แม็คคอลลัม ผู้ทำหน้าที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Young Indiana Jones Chronicles รวมถึง Star Wars Trilogy Special Edition ความพยายามและความสามารถของแม็คคอลลัมมีส่วนสำคัญในการผลิตภาพยนตร์ให้เป็นไปอย่างราบรื่น และนำพาสู่กาลเวลาที่ผู้อำนวยการสร้างทำงานด้วยความสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ “ริคให้ความช่วยเหลือในภาพยนตร์อย่างมากจนนับไม่ถ้วน” ลูคัสกล่าวถึงเพื่อนร่วมงานผู้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยของเขา “ความสร้างสรรค์และความช่วยเหลือในองค์กรของเขาไม่ธรรมดาเลย”
แม็คคอลลัมมองหน้าที่ที่แสนยุ่งยากของเขาว่าเป็นเรื่องธรรมดา “มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องช่วยทำให้จินตนาการของจอร์จกลายเป็นจริง” เขาอธิบายว่า “ผมต้องเป็นเลิศในทุกอย่างและทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้เพื่อเขา”
การสร้างผลงานของแม็คคอลลัมเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเนิ่นๆ ตั้งแต่ลูคัสจับปากกาเขียน โดยเริ่มแรกผู้อำนวยการสร้างได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อสำรวจสถานที่ต่างๆ และหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของเขาคือการค้นหาและว่าจ้างศิลปินผู้วางคอนเซ็ปต์ให้กับฝ่ายศิลป์ขนาดย่อม ซึ่งท้ายที่สุดต้องเป็นรับผิดชอบการออกแบบนับพันชิ้นให้เครื่องแต่งกาย สิ่งมีชีวิต ยานพาหนะ และฉากต่างๆ ของเอพพิโซด 1
ฝ่ายศิลป์นี้จะมีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์ เนื้อเรื่องของลูคัสมีการรวบรวมวัฒนธรรม ดวงดาว และรูปแบบต่างๆ ที่ต้องออกแบบมาอย่างอลังการและมีความหลากหลาย “ผมพยายามนึกภาพออกมาว่าแต่ละวัฒนธรรมจะมีลักษณะแบบไหน” ลูคัสเล่าว่า “และสิ่งที่ออกแบบมาต้องเหมาะสมกับแต่ละวัฒนธรรม” ความท้าทายต่างๆ เกี่ยวกับความลังเลเรื่องการออกแบบทั้งหลายสำหรับทุกๆ อย่าง ตั้งแต่เมืองใต้น้ำที่มีศิลปะอันเลิศล้ำในการสร้างพื้นที่สำหรับราชินี ยานอวกาศนับหลายลำ เครื่องแต่งกกกายนนนับบบรรร้อย และฉากของโลกอื่นๆ อีกนับพัน แค่สถาปัตยกรรมเพียงอย่างเดียวก็เกี่ยวข้องกับทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่อิฐ Ibadite Tunisian และลักษณะโคลน Malian เพื่อสร้างอาคารระฟ้าแห่งโลกอนาคต ปราสาททรงเรเนซองซ์ อิตาเลียน และการตกแต่งภายในที่เป็นอิสระในสไตล์โลกต่างดาว
ดั๊ก เชียง ผู้กำกับศิลป์แห่ง ILM มาร่วมงานในเอพพิโซด 1 เมื่อปี 1994 เพื่อควบคุมการออกแบบของเรื่อง โดยมีกลุ่มศิลปินผู้วางคอนเซ็ปต์ที่มีความสามารถมาร่วมงานกับเชียง ได้แก่ เทอร์ริล วิตแลช ที่มีความรู้ด้านสัตววิทยา ทำให้เธอมีจินตนาการเรื่องการออกแบบสิ่งมีชีวิตนับพันในเรื่อง และมีเอียน แม็คเคก ผู้เคยสร้างผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายที่มีความซับซ้อนมาแล้ว
จากการตีความจินตนาการของลูคัส เชียงจึงนำภาพลักษณ์ใหม่มาใส่ในมหากาพย์แห่งตำนานการผจญภัย โดยในเบื้องต้นเชียงได้ศึกษารูปแบบของ Star Wars อย่างพิถีพิถัน แต่ลูคัสมีบางอย่างอยู่ในใจที่ไม่ธรรมดา แทนที่จะลอกภาพเดิมมาจากต้นฉบับไตรภาค แต่เขากลับอยากสร้างฉากต่างๆ และโลกขึ้นมาใหม่ทั้งหมด สิ่งสำคัญที่ลูคัสหยิบมาใส่ไว้ในการออกแบบภาพยนตร์เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาได้ไปพบกับเชียงและฝ่ายศิลป์ตั้งแต่ช่วงก่อนการสร้างเนิ่นๆ “ตอนที่พบกันรั้งแรกจอร์จบอกฉันว่าเขาอยากได้สิ่งที่มีความแปลกใหม่และแตกต่าง” เชียงจำได้ “ฉันดีใจมากตอนที่จอร์จพูดว่า ‘ปิดผนึกไปเลย เผยสิ่งใหม่ๆ ออกมา’”
การปิดผนึกนี้ช่วยเรื่องการให้คำนิยามภาพลักษณ์ของเอพพิโซด 1 ที่เกี่ยวกับแฟชั่นที่หรูหราและการออกแบบเครื่องแต่งกาย ระหว่างที่ศิลปินผู้วางคอนเซ็ปต์เอียน แม็คเคก และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายทรีช่า บิกการ์ ได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ลูคัสก็มีส่วนร่วมในการออกแบบโลกแห่งแฟชั่นในภาพยนตร์เป็นอย่างมากด้วย
ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 ปีบิกการ์และทีมงานของเธอได้ทำการออกแบบกันอย่างขยันขันแข็ง และนำเครื่องแต่งกายนับพันชิ้นมารวมกัน ตั้งแต่ชุดที่มีความละเอียดซับซ้อน มีลายนูนประดับตกแต่งดูเป็นทางการ ไปจนถึงชุดที่ดูเรียบง่ายแต่มีรายละเอียดที่พิถีพิถัน โดยแผนกเครื่องแต่งกาย/ฉากยังได้ผลิตเครื่องประดับทั้งหมดอีกด้วย ตั้งแต่หมวกหุ้มเกราะ ที่สวมวิกผม และหัวเข็มขัดทั้งหลาย
สำหรับยานพาหนะในเอพพิโซด 1 ที่รวมถึงสตาร์ไฟเตอร์, ยานอวกาศของราชินี, พอดเรเซอร์, ยานขนส่งทหาร, รถถังโจมตี และยานรบขนาดใหญ่ — วัตถุประสงค์ในการใช้สอยจะเป็นเรื่องรองลงมา ซึ่งตามที่เชียงเล่าแล้ว ยานพาหนะบางลำต้องคำนึงถึงลักษณะทางศิลปะ โดยถ่ายทอดถึงสิ่งที่เชียงเรียกว่า “งานหัตถกรรมและสุนทรียศาสตร์ที่แท้จริง” เพื่อคงความโดดเด่นของการออกแบบเอาไว้ เชียงจึงเลี่ยงความงามแบบร่วมสมัยแล้วเลือกยึดการออกแบบในโลกสมัยก่อนแทน
หลังจากที่เชียงและทีมงานฝ่ายศิลป์ของเขาสร้างผลงานการออกแบบในเชิงสถาปัตยกรรมที่มีความซับซ้อนเอาไว้แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของผู้ออกแบบฉาก เกวิน บูเค่ ที่ต้องทำให้พวกมันมีชีวิตขึ้นมา บูเค่ได้เริ่มทำงานมาตั้งแต่ปี 1996 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 2 ปีหลังจากที่เชียงได้เริ่มทำงานด้านการออกแบบคอนเซ็ปต์ จึงเป็นที่เชื่อถือได้ในด้านการควบคุมการผลิตฉากของภาพยนตร์มากกว่า 60 ฉากที่อังกฤษ อิตาลี่ และตูนิเซีย ทำให้มีส่วนช่วยเหลือที่สำคัญในด้านภาพที่งดงามของเอพพิโซด 1