MOVIE: หิวรักซ่อนลึกลึก - A Dangerous Method

ข่าวบันเทิง Tuesday February 7, 2012 09:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ก.พ.--เอ็ม พิคเจอร์ส จัดจำหน่ายโดย เอ็ม พิคเจอร์ส ชื่อภาษาไทย “หิวรักซ่อนลึกลึก” เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์ http://www.youtube.com/watch?v=LdyYGu1Lwdw&feature=player_embedded ภาพยนตร์แนว ดราม่า-ทริลเลอร์ จากประเทศ แคนาดา กำหนดฉาย 23 กุมภาพันธ์ 2555 ณ โรงภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์ ผู้กำกับ David Cronenberg (เดวิด โครเนนเบิร์ก) อำนวยการสร้าง Jeremy Thomas (เจเรมี โธมัส) นักแสดง Kiera Knightley (เคียรา ไนท์ลีย์) ผลงานเรื่อง Never Let Me Go, Atonement, Pride and Prejudice Michael Fassbender (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) ผลงานชื่อดังเรื่อง Inglourious Basterds, X-Men: First Class และ Prometheus Viggo Mortensen (วิกโก้ มอร์เตนเซน) จากภาพยนตร์ไตรภาค Lord of the Rings,Eastern Promises, A History of Violence Vincent Cassel ( วินเซนต์ คาสเซล) จากภาพยนตร์เรื่องBlack Swan และ Mesrine และนักแสดงสาวดาวรุ่งชาวแคนาดา Sarah Gadon (ซาราห์ กาดอน) จุดเด่น A Dangerous Method เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เกี่ยวกับการค้นพบทางความคิดและความยั่วเย้าทางเพศ ที่นำมาใช้ในการรักษาคนไข้ อันเป็นจุดกำเนิดของความสัมพันธ์ที่สับสนระหว่างจิตแพทย์หน้าใหม่ อาจารย์ และ ผู้ป่วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ David Cronenberg (เดวิด โครเนนเบิร์ก) และผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัล Academy Awards (อคาเดมี อวอร์ด) อย่าง Jeremy Thomas (เจเรมี โธมัส) นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นการรวมตัวกันของทีมงานเบื้องหลังของโครเนนเบิร์ก ไม่ว่าจะเป็น Howard Shore (โฮเวิร์ด ชอร์) คอมโพสเซอร์เจ้าของ 3 รางวัล อคาเดมีอวอร์ดจากภาพยนตร์ไตรภาค The Lord of the Rings, ผู้กำกับภาพ Peter Suschitzky (ปีเตอร์ ซูสชิทสกี้) จากภาพยนตร์เรื่อง Star Wars: Episode V, ผู้ออกแบบงานสร้าง James McAteer (เจมส์ แม็คอาเทียร์), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย Denise Cronenberg (เดนิส โครเนนเบิร์ก) จากภาพยนตร์เรื่อง The Incredible Hulk , ผู้ออกแบบทรงผมและเมคอัพเจ้าของรางวัล อคาเดมี อวอร์ด Stephan Dupuis (สตีเฟน ดูปุยส์) จากภาพยนตร์เรื่องThe Fly และมือลำดับภาพ Ronald Sanders (โรนัลด์ แซนเดอร์ส) จากภาพยนตร์เรื่อง Coraline เรื่องย่อ ณ เมืองซูริค ปี 1904 จิตแพทย์วัย 29 ปี Carl Gustav Jung (คาร์ล กุสตาฟ จุง) เพิ่งเริ่มต้นประกอบอาชีพหมอได้ไม่นาน เขาใช้ชีวิตอยู่กับ Emma (เอ็มมา) ภรรยาสาวที่กำลังตั้งครรภ์ในโรงพยาบาลเบอร์โกลซี แรงบันดาลใจจากงานของ Sigmund Freud (ซิกมันด์ ฟรอยด์) ทำให้ Jung (จุง) พยายามทำการรักษาแบบทดลองจิตวิเคราะห์ หรือ 'การเยียวยาด้วยการสนทนา' กับ Sabina Spielrein (ซาบินา สปีลเรน) วัย 18 ปี หญิงสาวรัสเซียการศึกษาสูง ผู้พูดภาษาเยอรมันได้คล่องแคล่ว เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคฮิสทีเรีย และมีพฤติกรรมคลุ้มคลั่งอย่างรุนแรง เป็นอาการที่เธอเกิดบาดแผลร้าวลึกจากการถูกทุบตีจากพ่อผู้บ้าอำนาจของเธอ การติดต่อกันในเรื่องของ Sabina (ซาบินา) ทำให้ Jung (จุง) สานมิตรภาพขึ้นกับ Freud (ฟรอยด์) และการพบกันครั้งแรกระหว่างทั้งคู่ก็นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยาวนาน ความสัมพันธ์ลึกซึ้งนี้เกิดขึ้นทั้งระหว่าง Jung (จุง) และ Freud (ฟรอยด์) ผู้มอง Jung (จุง) ว่าเป็นทายาทแนวคิดของเขาและระหว่าง Jung (จุง) และ Sabina (ซาบินา) ผู้แสดงความเฉลียวฉลาดแม้ว่าเธอจะมีอาการป่วยก็ตามที การรักษาเธอบังเกิดผลสำเร็จและ Sabina (ซาบินา) ก็ตั้งใจจะผันตัวมาเป็นจิตแพทย์ ด้วยการสนับสนุนของ Jung (จุง) Jung (จุง) ตัดสินใจเมินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองและยอมจำนนต่อความรู้สึกที่เขามีต่อ Sabina (ซาบินา) พวกเขาก้าวเข้าสู่สัมพันธ์สวาทลับๆ เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ลงอย่างสิ้นเชิง จนเป็นที่มาของเรื่องราวต่างๆมากมายใน A Dangerous Method ข้อมูลภาพยนตร์ A Dangerous Method เริ่มต้นจากการเป็นบทภาพยนตร์ในช่วงกลางยุค 90s Christopher Hampton (คริสโตเฟอร์ แฮมป์ตัน) มือเขียนบทเจ้าของรางวัล อคาเดมี อวอร์ดมีความสนใจในเรื่องจิตวิเคราะห์เป็นพิเศษ และเขาก็อุทิศเวลาให้กับการค้นคว้าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง Jung (จุง), Freud (ฟรอยด์) และ Sabina (ซาบินา) และการไปเยือนโรงพยาบาลเบอร์โกลส์ลีในซูริค ที่ซึ่งเขาได้อ่านประวัติการรักษาของเธอ แฮมป์ตันสนใจในตัวบุคคลที่ฉลาดเฉลียวเหล่านี้ โดยเขาได้อธิบายว่า “คนพวกนี้เป็นผู้บุกเบิกและจิตวิเคราะห์ก็เป็นไอเดียที่แปลกใหม่มากๆ มันเปิดสิ่งที่ถูกซ่อนไว้และเผยให้เห็นถึงข้อห้ามมากมาย ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้า แนวความคิดใหม่ๆ ได้ถาโถมเข้ามา ซึ่งก็ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการนึกถึงสังคมด้วยครับ” หลังจากนั้น Hampton (แฮมป์ตัน) ก็ได้พัฒนาเรื่องราวนี้ให้กลายเป็นบทละครเวทีชื่อ The Talking Cure ซึ่งประสบความสำเร็จเมื่อถูกจัดแสดงที่โรงละครเนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน โดยมีราล์ฟ ไฟน์นำแสดงในบท Jung (จุง) สองสามปีให้หลัง ผู้กำกับชื่อดัง David Cronenberg (เดวิด โครเนนเบิร์ก) ก็ได้ขอให้ Hampton (แฮมป์ตัน) ดัดแปลงละครเวทีเรื่องนี้ให้เป็นบทภาพยนตร์โดยมีเขาเป็นผู้กำกับ Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) เล่าว่า “ในละครดั้งเดิมของ Christopher Hampton (คริสโตเฟอร์ แฮมป์ตัน) ผมรู้ว่าผมพบเรื่องราวที่มีศักยภาพที่จะนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่องเล่าของอารมณ์หลากหลาย ท่ามกลางฉากหลังของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ล้วงลึกเข้าไปในความสัมพันธ์ทั้งสองที่เข้มข้น และสอดประสานเกี่ยวเนื่องจนไม่อาจแยกจากกันได้ การที่ตัวละครเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์จริงๆ และความสัมพันธ์สามเส้าระหว่าง Jung (จุง), Freud (ฟรอยด์) และ Sabina (ซาบินา) ที่ส่งผลเป็นการถือกำเนิดของจิตวิเคราะห์สมัยใหม่ ทำให้เรื่องราวนี้น่าหลงใหลยิ่งขึ้นสำหรับผม” Hampton (แฮมป์ตัน) เริ่มพัฒนาบทละครของเขา ด้วยการร้อยเรียงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และคำพูดจากบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง ให้กลายเป็นเรื่องราวดราม่าของการถกเถียงไอเดียกัน Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) ได้นำโปรเจ็กต์ไปเสนอเพื่อนรักของเขา Jeremy Thomas ( เจเรมี โธมัส) (ผู้อำนวยการสร้างอิสระเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด) Thomas (โธมัส) หลงเสน่ห์เรื่องนี้ในทันที เขาอธิบายว่า “การจับคู่ที่น่าตื่นเต้นระหว่างผู้กำกับเดวิด โครเนนเบิร์กและนักเขียนบทละครและบทภาพยนตร์คนเก่ง Christopher Hampton (คริสโตเฟอร์ แฮมป์ตัน) เป็นโอกาสที่หาได้ยากเกินกว่าที่ผมจะยอมพลาดได้ โอกาสในการได้ร่วมงานกับเดวิดอีกครั้งในโปรเจ็กต์นี้ดูเหมือนจะเหมาะกับความขัดแย้งด้านความคิดที่น่าสนใจบนหน้าจอนะครับ มันมีการดวลกันมากมายในไดอะล็อค ซึ่งผมคิดว่าคงน่าดูชมมากๆ ถ้ามันจะพูดโดยนักแสดงที่เก่งมากๆ และมันก็คงสร้างผลกระทบให้กับผู้ชมได้เช่นกันหากกำกับโดยผู้กำกับที่วิเศษสุดและมีดนตรีประกอบที่ไพเราะน่ะครับ” สำหรับ Hampton (แฮมป์ตัน) โอกาสที่จะได้ร่วมงานกับ Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) ผู้กำกับที่เขาชื่นชม เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง “ผมคิดว่า David (เดวิด) มีคุณสมบัติพิเศษที่ผสมผสานระหว่างการมองเป็นกลางอย่างสุดเจ๋ง และความเอาใจใส่ติดตามอย่างค่อนข้างจะดุเดือด และการผสมผสานนั้นก็เข้ากับเรื่องราวนี้ได้ดีมากๆ เพราะมันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่พยายามจะปฏิบัติตัวภายใต้กฎความมีอารยะ และชี้นำคนไข้ไปสู่ ‘วิถีปกติ’ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มรับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า มันไม่มีวิถีปกติและตัวพวกเขาเองก็เหมือนพวกเราทุกคนในหลายๆ แง่มุม ที่ใช้ชีวิตอยู่ตามปกติ และจะต้องรับมือกับความย้อนแย้งเหล่านั้นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดวิดเป็นผู้กำกับที่วิเศษสุดที่รวมความย้อนแย้งเหล่านั้นและทำให้มันเป็นที่เข้าใจได้ขึ้นมาครับ” สำหรับ Thomas (โธมัส) ผู้อำนวยการสร้างที่เป็นที่ยกย่องจากผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่นของเขา เรื่องราวที่น้อยคนนักจะรู้นี้เป็นเรื่องที่เขารู้ว่าจะต้องนำขึ้นหน้าจอ “ผมถูกดึงดูดเข้าหาเรื่องราวแปลกพิเศษที่มักจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุดโต่งเสมอ แก่นของ A Dangerous Method คือเรื่องราวมีเสน่ห์ ที่ขับเน้นการที่แม้แต่คนที่เข้าใจความเป็นมนุษย์ยังตกหลุมพรางของอารมณ์ที่เป็นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ความรัก ความใคร่ ความทะเยอทะยาน การหลอกลวง การใจสลาย ความขัดแย้งรุนแรงและความฝันสำคัญเป็นพื้นฐานในตอนที่ Jung (จุง), Freud (ฟรอยด์) และ Sabina (ซาบินา) มาเจอกันและแยกจากกัน เป็นการพลิกโฉมหน้าของแนวคิดสมัยใหม่ไปตลอดกาล ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นเหล่านี้ที่ดำเนินคู่ขนานไปกับครรลองประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเสน่ห์สำหรับผมเหลือเกิน” ข้อมูลเกี่ยวกับงานออกแบบ Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) บล็อกแต่ละฉากกับนักแสดงของเขาในการซ้อมส่วนตัว ตามด้วยการซ้อมกับทีมงานและกำหนดจังหวะสำหรับการจัดแสงก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำฉากนั้นๆ Cassel (คาสเซล) อธิบายว่า สำหรับทั้งนักแสดงและทีมงาน มันไม่มีความคลุมเครือเกิดขึ้นเลย “เดวิดเป็นคนชัดเจนมาก เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร และความมั่นใจนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วกองถ่ายด้วย มันมีคำถามที่คนถามกันเสมอว่า ‘อะไรคือสไตล์ที่แตกต่างกันของผู้กำกับคนนี้และคนนั้น’ แต่เท่าที่ผมเคยร่วมงานกับผู้กำกับเก่งๆ มา สิ่งสำคัญคือความชัดเจน นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ข้อสังเกตที่เดวิดให้กับเราเป็นอะไรที่แม่นยำ และเขาก็ทำงานด้วยความมั่นใจสบายๆ ตลอดทั้งวันเลย” ลุคของ A Dangerous Method เป็นความร่วมแรงร่วมใจกันของทีมงานออกแบบงานสร้างและทีมแสง ไปจนถึงทีมคอสตูม และ เมคอัพ Carol Spier (แครอล สปีเออร์) ผู้ออกแบบงานสร้าง มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านเทคนิคและงานออกแบบ ก่อนที่จะส่งต่อหน้าที่นี้ให้กับ James McAteer (เจมส์ แม็คอาเทียร์) เมื่อถึงเวลาสร้างฉากขึ้นมาจริงๆ แม็คอาเทียร์และทีมงานของเขาได้โชว์แบบโมเดล ที่มีเฟอร์นิเจอร์ขนาดจิ๋ว ให้โครเนนเบิร์กและเแผนกอื่นๆ ได้รับรู้ถึงขนาดพื้นที่ ก่อนที่จะวาดแบบดีไซน์ที่เสร็จสมบูรณ์ขึ้นมา ฉากถูกกำหนดว่าจะต้องมีสีที่ซีดจางและไม่อิ่มตัว โดยมีการสูบซิการ์จัดของ Freud (ฟรอยด์) ส่งอิทธิพลต่อแบบดีไซน์ด้วยพื้นผิวสีควันซิการ์ สิ่งนี้ บวกกับสีสันที่เรียบง่ายของเครื่องแต่งกาย ทั้งสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว ชุดกระโปรงสีอ่อน และเครื่องแบบนางพยาบาลสีเทา บ่งบอกถึงการตัดสินใจด้านดีไซน์ของ McAteer (แม็คอาเทียร์) เขาอธิบายว่า “กุญแจสำคัญสำหรับผมคือการสร้างโทนที่เป็นกลางเบื้องหลังคอสตูมเพื่อที่มันจะให้ภาพที่คมชัด ผมพูดถึงมันว่าเป็นการ ‘ทำตัวสุภาพ’ ของเรา นั่นคือการไม่ให้มันไปยุ่งกับเครื่องแต่งกายหรือไดอะล็อค ฉากจะอยู่เงียบๆ ด้านหลัง แล้วปล่อยให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาออกหน้า ซึ่งนั่นก็คือหน้าที่ของมัน การสนับสนุนนักแสดงและไดอะล็อคครับ” สำหรับ Suschitzky (ซุสชิทสกี้) เป็นเรื่องสำคัญที่แสงและงานถ่ายทำจะต้องเติมเต็มบทและนักแสดง อย่างที่เขากล่าวว่า “ความกังวลของผมคือการทำให้มันดูและให้ความรู้สึกเหมือนหนังมากกว่าที่จะเหมือนละครเวทีที่ถูกบันทึกภาพ เราไม่ได้ใส่เอาช่วงเวลาที่อลังการเข้าไป บางครั้ง เราขยับกล้องก็ต่อเมื่อมันให้ความรู้สึกที่ใช่ เราถ่ายทำอย่างค่อนข้างจะตรงไปตรงมา เป็นวิธีการซื่อรงโดยไม่พยายามจะใส่สีสันเพิ่มเติม เพราะเรามีนักแสดงคุณภาพสูงและไดอะล็อคที่ชาญฉลาดอยู่แล้ว ซึ่งผมคิดว่ามันคงจะแบกรับหนังทั้งเรื่องได้” แม็คอาเทียร์และแผนกของเขาได้ศึกษารูปถ่ายอ้างอิงอย่างใกล้ชิดสำหรับการออกแบบฉาก และใส่ใจเป็นพิเศษกับห้องทำงานของจุงและฟรอยด์ ที่ซึ่งเป็นที่กำเนิดของทฤษฎีแปลกใหม่มากมายของพวกเขา พวกเขาได้ทำการค้นคว้าอย่างหนักก่อนที่จะสร้างฉากและจำลองห้องเดิมขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรายละเอียดยิบย่อยที่สุด ทีมงานโชคดีที่สามารถยืมเก้าอี้ทำงานของจริงของฟรอยด์ ซึ่งเจ้าตัวออกแบบเองมาได้ แม้ว่าเก้าอี้ตัวนี้จะถูกสร้างขึ้นหลังจากที่เรื่องราวในภาพยนตร์เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นโอกาสที่พิเศษสุดเกินกว่าจะปล่อยให้หลุดลอยไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักแสดงอย่างวิกโก้ มอร์เตนเซน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการค้นคว้าตัวละครของเขาอย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกับเวอร์ชันจริง ฉากห้องทำงานของฟรอยด์เป็นห้องที่เต็มไปด้วยไม้สีเข้มอัดแน่นไปด้วยหนังสือ เครื่องราง ของขลัง และวัตถุโบราณ ซึ่งกองอยู่เต็มโต๊ะเขาไปหมด ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกน่าอึดอัดระหว่างฉากที่แสดงให้เห็นถึงการสนทนามาราธอนครั้งแรกระหว่างฟรอยด์และจุง A Dangerous Method มีเรื่องราวเกิดขึ้นในอดีตที่มีสไตล์โดดเด่น ซึ่งทำให้ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย Denise Cronenberg (เดนิส โครเนนเบิร์ก)ทุ่มเทไปกับการค้นคว้า เธอตื่นเต้นอย่างมากที่มีโอกาสได้ทำงานนี้ “ในแง่ของเครื่องแต่งกายแล้ว มันน่าทึ่งมากที่ได้ทำงานกับบทที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในยุคนั้น เรื่องของเราครอบคลุมระหว่างปี 1904-1913 และฉันก็ทำชุดทั้งหมดสำหรับนักแสดงนำที่คอสพร็อพในกรุงลอนดอน ที่ซึ่งฉันเป็นคนเลือกเนื้อผ้าและสไตล์เอง มันเป็นงานหนักแต่ก็วิเศษสุดและสนุกมาก ฉันไม่เคยเลือกงานลูกไม้เยอะขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ!” เช่นเดียวกับงานออกแบบงานสร้าง มีการใช้ภาพถ่ายอ้างอิง เพื่อให้โครเนนเบิร์กได้ใช้ในการออกแบบเครื่องแต่งกาย บ่อยครั้ง ในตอนที่นักแสดงรับบทเป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีภาพถ่ายของพวกเขา ที่คนรู้จักกันดี ผู้ชมก็คาดหวังว่านักแสดงจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับตัวละครตัวนั้นๆ ซิกมันด์ ฟรอยด์ที่เราเห็นใน A Dangerous Method มีอายุ 50 ปี ซึ่งนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาในชีวิตเขาที่คนไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ เพราะภาพของฟรอยด์ที่โด่งดังที่สุดเป็นตอนที่เขาอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต ที่เขามีร่างกายผ่ายผอม ผมสีขาว และกำลังทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็ง ดูปุยส์ อธิบายถึงการแปลงโฉมมอร์เตนเซนให้กลายเป็นฟรอยด์ในยุคนี้ แทนที่จะเป็นการล้อเลียน “เราพยายามจะทำให้เกิดความคล้ายคลึงมากที่สุดในเรื่องของจมูกปลอม ซึ่งดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งคิ้ว ชิ้นส่วนผม และเคราที่ทำให้คางดูยาวขึ้น” Howard Shore (โฮเวิร์ด ชอร์) Composer (คอมโพสเซอร์) เจ้าของสามรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ให้ความสำคัญของดนตรีประกอบภาพยนตร์ ในฐานะองค์ประกอบสำคัญที่คลอไปกับความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของบทและภาพวิชวลบนหน้าจอ ชอร์ขยายความว่า “ตำนานซิกฟรีดเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวนี้ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างซาบินากับจุงด้วย มันนำผมไปสู่งานของวากเนอร์และการสร้างสรรค์ตัวละครตัวนี้ของเขา ผมอยากจะดัดแปลงงานโอเปราที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกนี้ และพยายามจะนำมันมาเชื่อมโยงกับเรื่องราวของจุงและฟรอยด์ ซาบินาจินตนาการว่าจุงเป็นซิกฟรี้ดและเธอก็ตั้งครรภ์ลูกของเขา และตัวละครตัวนี้ก็สำคัญต่อเรื่องราวของพวกเขามากๆ ในขณะที่ฟรอยด์เองก็ฝันว่าได้ทำลายซิกฟรี้ดด้วยเช่นกัน ผมอยากจะนำเสนอส่วนนั้นของเรื่องราวออกมาผ่านทางดนตรีและสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโอเปรากับเรื่องราวชีวิตจริงของตัวละครเหล่านี้ เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังดำเนินชีวิตแบบโอเปราเรื่องนั้นในปี 1910 ครับ” สถานที่ในการถ่ายทำ การถ่ายทำ A Dangerous Method เกิดขึ้นในโคโลญจน์, โบเดนเซ (ทะเลสาบคอนสแตนซ์) และเวียนนา ในช่วงเวลา 8 สัปดาห์ ฉากภายในส่วนใหญ่สำหรับโรงพยาบาลเบอร์โกลส์ลี รวมไปถึงอพาร์ทเมนต์ของจุง, ฟรอยด์และซาบินา ถูกถ่ายทำในฉากของสตูดิโอ ซึ่งถูกออกแบบและสร้างขึ้นบนสเตจของเอ็มเอ็มซี สตูดิโอส์ในโคโลญจน์ นอกเหนือจากนั้น บางส่วนของเรือเอสเอส วอชิงตัน ซึ่งจุงและฟรอยด์ใช้เดินทางไปอเมริกานั้น ก็ถูกสร้างขึ้นบนสเตจนั้นเช่นกัน สำหรับฉากภายในงานประชุมที่มิวนิค ที่ฟรอยด์เป็นลม มีการเลือกใช้วิลลา ออพเพนเฮมเมอร์ในโคโลญจน์สำหรับรายละเอียดยุคเก่าของมัน ทีมงานยินดีที่ได้ถ่ายทำนานสามวันในสถานที่จริงในเวียนนา ซึ่งเป็นที่พำนักของฟรอยด์และครอบครัวนานหลายปี สถานที่ถ่ายทำรวมถึงท้องถนนของเวียนนาบนรถม้า และด้านนอกของประตูทางเข้าและบันไดไปสู่บ้านของฟรอยด์ ซึ่งตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ฟรอยด์ไปแล้ว ที่เบิร์กกาส 19 สำหรับโครเนนเบิร์กและทีมงานและนักแสดง โดยเฉพาะบรรดานักแสดงชาย การได้ถ่ายทำในสถานที่จริง ที่ตัวละครเหล่านั้นเคยอยู่ ช่วยเสริมการแสดงของพวกเขาให้ดียิ่งขึ้น อย่างที่มอร์เตนเซนได้อธิบายว่า “การได้ไปเยือนเวียนนาและได้ถ่ายทำที่บ้านจริงๆ ของฟรอยด์ ที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ระหว่างปี 1891-1948 ที่เขาได้ขึ้นลงบันไดพวกนี้หลายครั้ง การได้ทำแบบนั้นเป็นความสุขอย่างยิ่งยวดครับ” นอกจากนั้นแล้ว เวียนนายังเป็นสถานที่สำหรับฉากการพบกันครั้งแรกนานสิบสามชั่วโมงระหว่างฟรอยด์และจุง ซึ่งเกิดขึ้นในบ้านของฟรอยด์, คาเฟ สเปิร์ล ที่บรรยากาศดี และสวนเบลเวอเดียร์ที่น่าทึ่ง โครเนนเบิร์กพูดถึงการสำรวจสถานที่เบื้องต้นในเวียนนาว่า “เมื่อพูดถึงฟรอยด์ก็ต้องนึกถึงเวียนนา และสำหรับเรา การได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ และมีฉากเกิดขึ้นในเวียนนาสามวันเป็นโอกาสทองครับ การได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์จริงๆ ของเวียนนาเป็นอะไรที่วิเศษสุด ผมตื่นเต้นมากตอนที่เราพบคาเฟ สเปิร์ลระหว่างการสำรวจสถานที่เพราะเรากำลังมองหาสถานที่ที่คาร์ลและจุงจะไปดื่มกาแฟเวียนนาและกินซาเชอร์เค้ก และนี่ก็เป็นหนึ่งในคาเฟเวียนนาที่เป็นต้นตำรับที่สุดเท่าที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมือง มันเหลือเชื่อเลยครับ เราแทบไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยในการทำให้มันให้ความรู้สึกเหมือนปี 1907 น่ะ” เนื่องด้วยสิ่งแวดล้อมรอบด้านที่ทันสมัยขึ้น การถ่ายทำที่ทะเลสาบซูริคจึงเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น โบเดนเซที่น่าทึ่งในรัฐบาเดน เวิร์ทเทมเบิร์กของเยอรมนีจึงถูกเลือกแทน โบเดนเซ (ทะเลสาบคอนสแตนซ์) เป็นทะเลสาบที่อยู่บนแม่น้ำไรน์ ตั้งอยู่ในเยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ใกล้กับตีนเขาแอลป์ ในการสำรวจสถานที่ถ่ายทำช่วงเริ่มแรก โครเนนเบิร์กและทีมงานได้รับแรงบันดาลใจที่จะถ่ายทำในทะเลสาบโบเดนเซจากภูมิประเทศที่น่าอัศจรรย์ใจและเรือเฟอร์รีสวยๆ ที่มีชื่อว่าโฮเฮนท์วีล ด้วยความที่ในยุคนั้นการเดินทางด้วยเรือกลไฟถูกมองว่าเป็นการเดินทางของชนชั้นสูง เรือเฟอร์รีไม้ที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1903 ซึ่งถูกบูรณะใหม่อย่างประณีตจึงเป็นพาหนะที่เพอร์เฟ็กต์ โบเดนเซกลายเป็นสถานที่ถ่ายทำในอุดมคติและเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินทางโดยเรือกลไฟของจุงและ สปีลเรน ข้ามทะเลสาบซูริค รวมไปถึงฉากสำคัญอื่นๆ ด้วย และบทภาพยนตร์ทำให้ต้องมีการถ่ายทำบนทะเลสาบเพิ่มเติม ด้วยความที่จุงใช้เวลาบ่อยครั้งอยู่ในเรือใบลำงาม ที่เขาได้รับเป็นของขวัญจากภรรยา เรือใบที่สวยงามชวนตะลึงถูกเช่ามาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ และฟาสเบนเดอร์ก็ได้เรียนรู้การแล่นเรือจากเจ้าของเรือ สำหรับแผนกศิลป์ ความท้าทายชิ้นใหญ่ที่สุดในการถ่ายทำที่โบเดนเซคือการสร้างวิลลาของจุงในคืสนัคท์ เพราะมันเป็นบ้านที่เป็นที่คนรู้จักกันดี ครอบครัวจุงยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดิม และด้วยความที่มันอายุเก่าแก่กว่า 100 ปีแล้ว มันก็เลยไม่เหมาะที่จะใช้ในการถ่ายทำเพราะในบทระบุเอาไว้ว่ามันจะต้องแลดูใหม่เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จ ผู้ร่วมอำนวยการสร้างมาร์โค เมห์ลิทซ์ได้ร่วมงานกับแผนกสถานที่และแผนกศิลป์เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานที่ถ่ายทำเหมาะๆ ในช่วงการถ่ายทำ และเขาก็ได้อธิบายว่า “สำหรับวิลลาของจุง เราพบสถานที่สวยๆ บนชายฝั่งทะเลสาบ ที่มีอาคารสวยงาม แต่มันเป็นวิลลาผิดประเภท ซึ่งหมายความว่าเราต้องตัดสินใจสร้างอาคารขึ้นมา และนั่นก็เป็นเรื่องใหญ่เลย ผมคิดว่าผลที่ออกมาค่อนข้างจะงดงามทีเดียวเพราะเราสามารถสร้างบ้านขึ้นมาในสวน ซึ่งไร้ตำหนิจริงๆ” แผนกศิลป์ได้สร้างด้านหน้าบ้านของจุงและได้ปลูกต้นไม้ในสวย โดยมีการวางแผนงาน CGI สำหรับหลังคาและรายละเอียดอื่นๆ ในช่วงโพสต์โปรดักชัน ฉากอื่นๆ ที่ถ่ายทำในสถานที่จริง ในบริเวณนี้รวมถึงบริเวณของโรงพยาบาลเบอร์โกลส์ลี ซึ่งถูกถ่ายทำที่วิหารในอินซิกโคเฟน ฉากที่จุงและสปีลเรนเดินบนถนนก้อนกรวด ถูกถ่ายทำในอูเบอร์ลิงเกน และเมืองมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ก็ถูกใช้เป็นภายนอกของโรงพยาบาลเบอร์โกลส์ลีและอพาร์ทเมนต์ของซาบินารวมไปถึงถนนที่อยู่แวดล้อมด้วย คาแร็คเตอร์นักแสดง Jung จุง, Freud (ฟรอยด์) และ Sabina (ซาบินา) บนหน้าจอ เมื่อถึงเวลาเลือกนักแสดงที่จะมารับบทบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของชีวิตในตอนที่เรื่องราวนี้เกิดขึ้น การคัดเลือกที่เฉพาะเจาะจงก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง อย่างที่ Thomas (โธมัส) บอกว่า “นี่คือการล้วงลึกจิตใจของมนุษย์ผ่านทางตัวละครที่อายุน้อย Jung (จุง) อายุสามสิบ Freud (ฟรอยด์)อายุห้าสิบ Sabina (ซาบินา)อายุยี่สิบต้นๆ และ Gross (กรอส) ก็อยู่ในช่วงอายุสามสิบต้นๆ ทั้ง Michael Fassbender (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) , Viggo Mortensen (วิกโก้ มอร์เตนเซน), Keira Knightley (เคียรา ไนท์ลีย์) และ Vincent Cassel (วินเซนต์ คาสเซล) ต่างก็เป็นนักแสดงที่เดวิดอยากจะให้รับบทเหล่านี้ และผมก็คิดว่าพวกเขาเป็นตัวเลือกที่วิเศษสุดครับ” Sabina Spielrein (ซาบินา สปีลเรน) เป็นหนึ่งในนักจิตวิเคราะห์หญิงคนแรกๆ เป็นผู้บุกเบิกศาสตร์ของจิตวิทยาเด็ก แต่แทบไม่มีใครเอ่ยถึงเธอเลยในประวัติศาสตร์จิตวิเคราะห์ แม้ว่าในปี 1912 เธอจะนำเสนอแนวคิดของเธอที่ว่าแรงขับด้านเพศเป็นสิ่งที่มีทั้งสัญชาตญาณในการทำลายล้างและสัญชาตญาณในการเปลี่ยนแปลงต่อสมาคมจิตวิเคราะห์ก็ตาม ในการนำเสนอครั้งนั้น มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า Sabina (ซาบินา) มีอิทธิพลต่องานของทั้ง Jung(จุง) และ Freud (ฟรอยด์) ทั้งแนวคิดของ Jung (จุง)เกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงในตัวผู้ชายและความเป็นผู้ชายในตัวผู้หญิง (การเปลี่ยนแปลง) และทฤษฎีของฟรอยด์เกี่ยวกับสัญชาตญาณทางเพศและความตาย ภายหลัง Freud (ฟรอยด์) ได้ยอมรับในหนังสือเล่มหนึ่งของเขาว่า Sabina (ซาบินา)ได้นำเขาไปสู่แนวคิดนี้ ในขณะที่ธรรมชาติความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่อาจทำให้จุงไม่เคยยอมรับต่อสาธารณชนว่า ความคิดของเธอมีอิทธิพลต่อความคิดของเขาก็เป็นได้ จนกระทั่งมีการค้นพบประวัติรักษา อนุทินส่วนตัวและจดหมายที่เธอโต้ตอบกับ Jung (จุง) และ Freud (ฟรอยด์) ซึ่งตอนนี้ถูกตีพิมพ์แล้ว เราถึงรู้อย่างชัดเจนว่าเธอได้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับความคิดของชายทั้งสองคน Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) อธิบายถึงสิ่งที่ผลักดันให้เขานำตัวละครซับซ้อนที่เคยมีชีวิตอยู่จริงเหล่านี้ขึ้นสู่หน้าจอว่า “ใน A Dangerous Method ผมอยากสร้างหนังสวยงามที่ยืนอยู่บนความสยองขวัญด้านอารมณ์ โดยที่ไม่สูญเสียเสน่ห์เย้ายวนของมัน ผมได้รับแรงกระตุ้นจากรายละเอียดที่แนบแน่นและแปลกประหลาด ซึ่งเผยถึงตัวละครหลักสามตัว และทำให้เราเข้าใจถึง การถูกผูกมัดและปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากพันธนาการทางความคิดและร่างกาย มันเป็นสายสัมพันธ์สามเส้าที่แปลกประหลาด ไม่ใช่ว่าซาบินาจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับ ฟรอยด์นะครับ เพียงแต่พวกเขามีความรักให้กันและกัน ซึ่งรวมถึงระหว่างจุงและฟรอยด์ด้วย ระหว่างพวกเขามีทั้งมิตรภาพและความรักที่เหลือเชื่อให้แก่กันน่ะครับ” Michael Fassbender (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) รับบท Carl Jung (คาร์ล จุง) Michael Fassbender (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) นักแสดงหนุ่มมากความสามารถ ได้รับเลือกให้รับบท Carl Jung (คาร์ล จุง )ตัวละครที่เขาตื่นเต้นมากที่จะสวมบทนี้ เพราะเขารู้สึกหลงใหลในช่วงเวลาที่น้อยคนนักจะรู้ในชีวิตของจุงและฟรอยด์ เขาอธิบายว่า เขารู้สึกว่าซาบินามีอิทธิพลต่อการงานของผู้ชายทั้งสองคน “ข้อมูลที่ Christopher Hampton (คริสโตเฟอร์ แฮมป์ตัน) รวบรวมมาทำให้รู้ว่าเธอมีอิทธิพลต่อจุงในเรื่องความคิดของเขาที่มีต่อลักษณะนิสัยเก็บกดและชอบแสดงออก ซึ่งผมคิดว่าเธอไม่ได้รับการยกย่องสำหรับอิทธิพลที่เธอมีต่อทั้งคู่เลย ความสัมพันธ์ระหว่างสามคนนี้น่าสนใจมาก และ Sabina (ซาบินา) ก็ช่วยทำให้รอยร้าวระหว่างทั้งสองคนเห็นชัดขึ้น แต่เธอก็เป็นคนที่อยากให้พวกเขาร่วมมือกันต่อไป เพราะเธอคิดว่ามันอาจทำให้การศึกษาจิตวิทยาถอยหลังกลับไป 100 ปี ถ้าพวกเขาไม่ทำงานร่วมกัน สิ่งที่ทำให้ A Dangerous Method น่าสนใจคือมันเป็นเศษเสี้ยวในชีวิตของบุคคลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ ซึ่งเราไม่เคยรู้พร้อมทั้งมีจุดหักมุมหรือเรื่องน่าประหลาดใจเล็กๆครับ” สำหรับ Fassbender (ฟาสเบนเดอร์) โอกาสที่จะได้ทำงานกับบทภาพยนตร์ของ Hampton (แฮมป์ตัน) และ Cronenberg (โครเนนเบิร์ก) เป็นอะไรที่เย้ายวนใจ ขณะที่เรื่องราวดำเนินไป ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหัวคิดก้าวหน้าของ Fassbender (ฟาสเบนเดอร์) และ Freud (ฟรอยด์) อาจารย์ของเขา Emma (เอ็มมา) ภรรยาของเขา Sabina( ซาบินา) และ Otto Gross (ออตโต้ กรอส) คนไข้ของเขา ผู้กระตุ้นให้เขาก้าวข้ามขอบเขต เป็นความสัมพันธ์ที่ผู้ชมหลายคนสามารถเข้าถึงได้ อย่างที่ฟาสเบนเดอร์บอก “ความรู้สึกของฉากพวกนี้เข้าถึงได้ง่ายมากๆ เพราะคุณจะเห็นว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ เหมือนกับพวกเรานั่นเอง พวกเขาเองก็มีความใคร่ มีความอิจฉาริษยาเหมือนกัน ตัวละครพวกนี้มีอะไรให้เล่นมากมาย พวกเขาเป็นคนเก่ง แต่นั่นก็ทำให้พวกเขามีอีโก้ด้วยเช่นกัน ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าสนใจ การที่เวลาคนเราถูกต้อนให้จนมุม พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และพวกเขารับมือกับผู้คนรอบด้าน ซึ่งบางครั้งก็เป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเขามากที่สุดอย่างไร” Keira Knightley (เคียรา ไนท์ลีย์) รับบท Sabina Spielrein (ซาบินา สปีลเรน) บทสำคัญอย่าง Sabina Spielrein (ซาบินา สปีลเรน) ถูกเสนอให้กับนักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบาฟตา Keira Knightley (เคียรา ไนท์ลีย์) หลังจากได้อ่านบท เธอก็ตอบรับความท้าทายที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกของจิตวิเคราะห์ด้วยความยินดี พร้อมทั้งเธอยังได้ค้นคว้าและอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ รวมไปถึงข้อมูลทุกอย่างที่เธอหาได้เกี่ยวกับ Sabina (ซาบินา) และการพูดคุยกับนักจิตวิเคราะห์ด้วย สำหรับไนท์ลีย์ โอกาสในการได้เป็นส่วนหนึ่งของ A Dangerous Method เป็นสิ่งที่เธอจินตนาการเอาไว้ “สิ่งที่ฉันคิดว่าน่าทึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวนี้คือมันแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของจิตวิเคราะห์ มันเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมของเรา ด้วยคำอย่าง ‘อีโก้’ หรือ ‘ซับซ้อน’ จนเราไม่นึกถึงมันด้วยซ้ำเวลาใช้ในปัจจุบันนี้ ในขณะที่ในตอนนั้น เป็นตอนเริ่มต้น พวกเขาเพิ่งจะค้นพบวิธีใหม่ในการรักษาคนไข้น่ะค่ะ” ซาบินาที่คลุ้มคลั่งและทุกข์ทรมานใจ ที่เราได้พบในตอนแรกแตกต่างจากบทอื่นๆ ที่ไนท์ลีย์เคยได้รับมาก่อนหน้านี้ เธอตอบรับความท้าทายนี้อย่างกระตือรือร้น เพื่อผลักดันตัวเองในการสวมบทผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนี้ ผู้เป็นอิทธิพลให้กับนักคิดผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดสองคนของศตวรรษที่ยี่สิบ Knightley (ไนท์ลีย์)เห็นจากบทของ Hampton (แฮมป์ตัน)ว่า Jung (จุง) หลงใหล Sabina (ซาบินา)ตั้งแต่เซสชันแรกของพวกเขา ในห้องว่างที่เขานั่งข้างหลังเธอ และเริ่มใช้ ‘การเยียวยาด้วยการพูด’ ของ Freud (ฟรอยด์)กับเธอ Knightley (ไนท์ลีย์) อธิบายว่า “ซาบินามีปัญหาทางจิตตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาลในตอนแรก แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้จุงแปลกใจคือการที่เธอเป็นคนฉลาดมาก และเธอก็ทั้งกล้าหาญและเปิดเผยอย่างมากอีกด้วย เขาอ่านเรื่องเกี่ยวกับ ฟรอยด์และจิตวิเคราะห์ อย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบัน และเริ่มใช้เธอเป็นตัวทดสอบ ‘การเยียวยาด้วยการพูดคุย’ แบบนี้ เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองมากๆ และฉันก็คิดว่าความซื่อสัตย์ ความเฉลียวฉลาดและความเข้มแข็งของเธอ รวมไปถึงการที่เธอเป็นคนสวย ทำให้เขาหลงใหลเธอและทำให้เขาเสียศูนย์ค่ะ” Viggo Mortensen (วิกโก้ มอร์เตนเซน) รับบท Sigmund Freud (ซิกมันด์ ฟรอยด์) สำหรับ Viggo Mortensen (วิกโก้ มอร์เตนเซน) กับการได้รับบทซิกมันด์ ฟรอยด์ มอร์เตนเซนได้ทุ่มเทให้กับการศึกษาเรื่องของฟรอยด์ เขาได้ศึกษาบทนี้ด้วยการค้นคว้าอย่างละเอียดละออ อย่างที่เขาเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว เขาได้ไปเยี่ยมสถานที่เกิดของฟรอยด์ บ้านของเขาในเวียนนาและลอนดอน รวมถึงโรงพยาบาลเบอร์โกลส์ลี อ่านหนังสือของเขา ศึกษาภาพถ่ายและฟุตเตจเพื่อดูลุคและอากัปกิริยาของเขา หรือกระทั่งไปหาซิการ์ที่เขาสูบด้วยซ้ำไป การศึกษาฟรอยด์ของมอร์เตนเซนยังรวมถึงชุดและอารมณ์ขันของเขาด้วย เขาขยายความว่า “ฟรอยด์แต่งตัวแบบเดิมตลอดหลายทศวรรษ เป็นวิธีการแต่งตัวแบบศตวรรษที่สิบเก้าน่ะครับ เขาเขียนภาษาเยอรมันแบบที่เขียนกันในศตวรรษที่สิบแปดและสิบเก้า และเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย งานเขียนและการนำเสนอตัวเองของเขามีความเป็นทางการ การเขียนจดหมายถึงจุงของเขาแสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดมาตรฐานสูงในวาทกรรมของเขา แต่ในการพูดคุยกันแล้ว เขาเป็นคนมีไหวพริบและมีเสน่ห์ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่สนุกมากที่จะแสดงออกมา จุงเป็นคนที่ฉลาดมากๆ แต่เขาก็แตกต่างจากฟรอยด์มากๆ ด้วย” Vincent Cassel (วินเซนต์ คาสเซล) รับบท Otto Gross (ออตโต้ กรอส) บทสำคัญอย่างออตโต้ สำหรับ Cassel (คาสเซล) นี่เป็นโอกาสในการสวมบทเป็นนักจิตบำบัด ในลักษณะที่แตกต่างจากจุงและฟรอยด์ กรอสเชื่อว่า คนเราต้องมีประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่เพื่อจะนำมาพูดคุยในอาชีพของพวกเขาได้ และเขาก็ใช้ชีวิตตามแนวความคิดที่เขาเชื่อ กรอสมีแนวความคิด กิริยาและการแต่งตัวที่ทันสมัย เกือบจะผิดแปลกไปจากยุคของเขา นี่เป็นสิ่งที่ถูกใจคาสเซลอย่างมาก เขาอธิบายว่า “ออตโต้ กรอสป่วยจริงๆ เขาติดยาเสพติดและมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงและเด็กมากหน้าหลายตาทั่วไปหมด มีบทพูดบทหนึ่งที่สรุปตัวละครของผมได้อย่างดีซึ่งก็คือ ‘ไม่เคยยับยั้งชั่งใจ’ เขาทำทุกอย่างที่เขาอยากทำ ผมคิดว่านั่นทำให้เขาเป็นตัวละครที่ไร้ศีลธรรมจรรยาครับ” ความสนใจที่จุงมีต่อซาบินา และสัมพันธ์ทางกายระหว่างพวกเขา ปลุกเร้าความรู้สึกแรงกล้าในตัวเธอขึ้นมา ไนท์ลีย์ตีความมันว่า “ฉันคิดว่าในเวลานั้น การเป็นผู้หญิง การเป็นชาวรัสเซีย และการต้องเจอกับโรคร้ายแรงนี้ ทุกอย่างทำให้เธอโดดเดี่ยวในระดับหนึ่ง ฉันเชื่อว่าเธอมองจุงว่าเป็นผู้ช่วยให้เธอรอดพ้น เป็นคนที่ปลดปล่อยเธอและมอบอิสระให้กับเธอ ด้วยความผิดปกติทางเพศของเธอ ซึ่งมักจะเปลี่ยนจากเป้าหมายหนึ่งไปเป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง ฉันคิดว่ามันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ส่งผลร้ายทีเดียว เพราะมันกลายเป็นแบบแผนพฤติกรรมและฉันก็คิดว่าถ้าเธอได้ส่งต่อความผิดปกตินี้ไปให้เขา มันก็คงจะเป็นความสัมพันธ์แบบมาโซคิสต์ทีเดียวล่ะค่ะ” Sarah Gadon (ซาราห์ กาดอน) รับบท Emma Jung (เอ็มมา จุง) นักแสดงหญิงชาวแคนาดา Sarah Gadon (ซาราห์ กาดอน) ได้รับบทเอ็มมา จุง ภรรยาผู้ภักดีของจุง กาดอนพบว่าตัวเองถูกดึงดูดเข้าหาความรู้สึกรุนแรงที่แผ่ซ่านอยู่ในบทและตัวละคร รวมถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกัน ทั้งด้านอาชีพการงานและเรื่องส่วนตัว กาดอนอธิบายว่า สถานะของเอ็มมาในสังคมและความรู้สึกรับผิดชอบต่อชีวิตคู่และครอบครัวของเธอหมายความว่าเธอจะสนับสนุนสามีของเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น “เราพบคาร์ลและเอ็มมาในช่วงที่พวกเขาแต่งงานใหม่ๆ ก่อนที่เธอจะให้กำเนิดลูกคนแรกของพวกเขา และมันก็น่าสนใจจริงๆ เพราะคุณจะได้เห็นลำดับปัญหาในชีวิตคู่ของพวกเขาในตอนที่คาร์ลเริ่มสานสายสัมพันธ์กับซาบินา ฉันคิดว่าเอ็มมาตั้งความคาดหวังต่อชีวิตคู่ในแง่บวกมากๆ แต่พอเรื่องราวดำเนินไป คุณจะได้เห็นว่าเธอต้องลำบากกับความรู้สึกรับผิดชอบ ฉันคิดว่าหน้าที่ของเธอสำคัญต่อจุงเพราะไม่เพียงแต่เธอช่วยประคับประคองชีวิตครอบครัวของพวกเขาไว้ แต่เธอยังคอยสนับสนุนเขาอีกด้วย หากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากเธอ เขาคงจะไม่สามารถทำงานอย่างที่เขาทำอยู่ได้หรอกค่ะ” ผู้หญิงในยุคสมัยนั้นส่วนมากเช่นซาบินาและเอ็มมา เป็นที่รู้จักน้อยกว่าก็เพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงแทนที่จะเป็นผู้ชาย และพวกเธอก็ไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีตัวตนนอกเหนือไปจากภายในครัวเรือนอีกด้วย ดังนั้น อิทธิพลของซาบินาในแวดวงจิตวิเคราะห์ รวมไปถึงแนวคิดสมัยใหม่ จึงเป็นเรื่องที่น่าทึ่งยิ่งขึ้น อย่างที่เจเรมี โธมัสบอกว่า “ยังไม่มีหนังใหญ่ๆ เรื่องไหนที่บอกถึงอิทธิพลที่ฟรอยด์และจุงมีต่อหลักจิตวิเคราะห์ในศตวรรษที่ยี่สิบและ A Dangerous Method ก็เป็นหนังเรื่องนั้น และมันก็ให้น้ำหนักไปที่ความสัมพันธ์ในหน้าที่การงานของพวกเขาด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของซาบินา สปีลเรน ผู้หญิงที่มาตรงกลางระหว่างพวกเขาครับ”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ