กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--ปตท.
ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ว่า ปตท. มีวิสัยทัศน์ในการมุ่งไปสู่การเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติขนาดใหญ่ (Big) เพื่อให้สามารถแข่งขันกับบริษัทพลังงานข้ามชาติได้ โดยมีสายโซ่อุปทานที่ยาว (Long) ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดพลังร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจ และมีระบบการบริหารจัดการภายในองค์กรที่เข้มแข็ง (Strong) เพื่อสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก อันจะส่งผลให้สามารถใช้ศักยภาพดังกล่าวเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดแคลนแม้ในยามวิกฤต และภายใต้วิสัยทัศน์ในการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานดังกล่าว ปตท. มุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรให้มีความก้าวหน้าทางวิทยาการด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Technologically Advanced and Green National Oil Company (TAGNOC) เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจบนพื้นฐานของเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ แทนการพึ่งพาทรัพยากรจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว โดยปัจจุบัน ปตท. ได้เร่งสร้างและคิดค้น Green Product เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกซึ่งสามารถต่อยอดให้เป็นธุรกิจพลังงานที่ยั่งยืนได้ในอนาคต ควบคู่กับการลงทุนในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานหลักที่นับวันจะทยอยหมดลง
ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2554 ของ ปตท. แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยในไตรมาสที่สี่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจาก ปตท. มีแผนการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อรองรับทุกสถานการณ์ ได้แก่ แผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan) แผนการจัดการสภาวะวิกฤต (Crisis Management Plan) แผนการกู้คืนระบบสารสนเทศ (Disaster Recovery Plan) แผนการจัดเตรียมทรัพยากรบุคลากร (Human Resource Plan) แผนการจัดเตรียมสถานที่ปฏิบัติงานสำรอง (Work Area Recovery Plan) และแผนการกู้คืนอาคารและสถานที่ (Site Recovery Plan) ทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและการให้บริการ อีกทั้งสามารถใช้ศักยภาพที่มีเข้าช่วยฟื้นฟูและบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี 2554 ปตท. มีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 47,246 ล้านบาท ทั้งนี้ หากรวมผลการดำเนินงานจากบริษัทในกลุ่มตามสัดส่วนการลงทุนอีก 58,050 ล้านบาทแล้ว กลุ่ม ปตท. มีกำไรสุทธิรวม 105,296 ล้านบาท จากรายได้จากการขายและบริการรวม 2,428,165 ล้านบาท มีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจ่าย (EBITDA) 210,748 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ ปตท. ในวันนี้ ทำให้ ปตท. สามารถนำเงินส่งรัฐได้สูงสุดถึงประมาณ 63,000 ล้านบาท โดยนำส่งในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 39,000 ล้านบาท และ ในรูปเงินปันผลประมาณ 24,000 ล้านบาท โดยรัฐสามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้มีความผาสุกและเกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากผลกำไรที่ส่วนหนึ่งได้นำส่งเข้ารัฐ และอีกส่วนหนึ่งได้ถูกนำมาใช้ดำเนินกิจกรรมเพื่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแล้ว ปตท. ยังได้จัดสรรเงินสำหรับลงทุนในปี 2555 กว่า 91,000 ล้านบาท และงบฯลงทุน 5 ปี ประมาณ 720,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนของ ปตท. ประมาณ 360,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน ได้แก่ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 และส่วนขยายไปยังนครสวรรค์และนครราชสีมา โครงการขยายขีดความสามารถในการนำเข้าก๊าซหุงต้มและก๊าซแอลเอ็นจี ฯลฯ ส่วนการลงทุนของบริษัท ปตท.สผ. อีกประมาณ 360,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแหล่งก๊าซฯ และน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ
ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากรายได้และกำไรสุทธิของ ปตท. แล้ว จะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนต่อรายได้เพียงร้อยละ 4.4 อยู่ในระดับไม่สูงเมื่อเทียบกับบริษัทพลังงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ที่มีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 9.5 เนื่องจาก ปตท. ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการดูแลสังคมภายใต้แนวคิด CSR : Care Share Respect ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และการดำเนินโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการลูกโลกสีเขียว โครงการรักษ์ป่า สร้างคน 84 ตำบล วิถีพอเพียง ซึ่งมีส่วนช่วยให้ชุมชนมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน รวมถึงการสนับสนุนด้านการศึกษา และด้านกีฬา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาให้เยาวชนเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป