กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--กรมควบคุมโรค
สธ.เผยค่านิยมอยู่ก่อนแต่ง และมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำวัยรุ่นไทยเสี่ยงป่วยโรคหนองในเพิ่มขึ้น ชี้ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยโรคหนองในเป็นหญิงมากกว่าชาย และส่งผลให้ผู้หญิงเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ในขณะที่ผู้ป่วยหนองในจะมีโอกาสรับเชื้อเอดส์ได้ง่ายกว่าคนปกติ ย้ำ!!การป้องกันโรคยังคงต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งและทุกช่องทางที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก หรือทางปาก
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่าจากผลสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตัวเลขของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพบว่าผู้เป็นโรคมีอายุน้อยลงโดยเฉพาะในเยาวชนอายุ 15-19 ปีจะเป็นกลุ่มที่พบมากที่สุด เนื่องจากวัยรุ่นมีค่านิยมที่จะอยู่กันก่อนแต่งงานหรือนิยมมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังไม่มาก โดยขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันตัวเอง ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรจะทำให้เกิดการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย เช่น โรคหนองในแท้ หนองในเทียม แผลริมอ่อน กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง ซิฟิลิส และแผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ ทั้งนี้จากรายงานของกลุ่มระบาดวิทยาและข่าวกรองของหน่วยงานปี 2554 พบว่าใน 5 จังหวัดภาคเหนือตอนล่างพบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จำนวน 133 ราย ร้อยละ 80 เป็นโรคหนองในและเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะเพศหญิงถ้ามีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสติดเชื้อประมาณ 70-80% ซึ่งการติดเชื้อนี้ในเพศหญิงส่วนใหญ่มักไม่ปรากฏอาการแต่จะสามารถแพร่เชื้อให้กับคู่นอนได้ และผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวกับผู้ชายที่มีเชื้อโกโนเรียหรือหนองในแท้โดยไม่สวมใส่ถุงยางจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกด้วย การป้องกันโรคนี้จึงยังคงต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งและทุกช่องทางที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก หรือทางปาก
ด้านนายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่าจากข้อมูลในปี 2553 พบว่า มีผู้มาตรวจโรคในสถานพยาบาลทั่วประเทศทั้งสิ้น 74,996 ราย ในจำนวนนี้พบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 11,099 ราย ซึ่งสาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากการติดเชื้อใน 3 กลุ่มได้แก่1.เกิดจากเชื้อไวรัสได้แก่ เริมที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ ไวรัสตับอักเสบบี ฯล ซึ่งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดไม่มียารักษา และบางชนิดยังสามารถฝังตัวอยู่ และกลับมาเป็นซ้ำได้อีก 2.เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ท่อปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ฯลฯ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ 3.เกิดจากเชื้ออื่นๆ เช่น พยาธิ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะเช่นกัน
“ทั้งนี้จากการที่พบโรคหนองแท้เพิ่มมากขึ้น ชี้ให้เห็นถึงการละเลยที่จะใช้ถุงยางอนามัยในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ และยังข้อมูลที่ชัดเจนคือโรคหนองในมีความสัมพันธ์กับโรคเอดส์โดยตรง ผู้ป่วยหนองในจะมีโอกาสรับเชื้อเอดส์ได้ง่ายกว่าคนปกติ โดยอาการบ่งชี้ว่าเป็นโรคหนองในในผู้ชายจะแสดงหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 3-5 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีหนองขุ่นข้น ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ถ้าไม่รักษาปล่อยทิ้งไว้ เชื้ออาจลุกลามสู่อัณฑะ มีโอกาสทำให้เป็นหมันได้ ส่วนในผู้หญิงจะมีตกขาวเป็นมูกหนอง ปวดท้องน้อย ปัสสาวะแสบขัด เชื้ออาจลุกลามถึงมดลูก ทำให้เกิดท้องนอกมดลูกได้ ส่วนการติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกนั้น พบได้ในการติดเชื้อหนองในแท้ หนองในเทียม เริม และกามโรค โดยมีการติดเชื้อได้ทั้งในขณะตั้งครรภ์และในขณะคลอด ทารกที่ติดเชื้อจะมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นตามมา เช่น เจริญเติบโตผิดปกติ พิการ และอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นสตรีที่ตั้งครรภ์จึงควรต้องได้รับการตรวจคัดกรอง และรักษาโรคต่างๆดังกล่าวอย่างเหมาะสม รวมทั้งป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์เสียแต่เนิ่นๆ หนทางป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ป่วยควรงดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ควรซื้อยารักษาตนเองเพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยารักษาไม่หาย ไปรับการตรวจตามนัดทุกครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์” อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว