กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--มิกซ์ แอนด์ แมทซ์ คอมมิวนิเคชั่นส์
ชี้ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ฉุดยอดรายได้ไตรมาสสุดท้ายลดลง 41.77% ทั้งปีลดลง 35.45% แต่มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อีกกว่า 1,200 ล้านบาท รอรับรู้ทั้งจำนวนในปี 2555
นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้พัฒนาโครงการ “ชวนชื่น” และ “สิรีนเฮ้าส์” เปิดเผยว่า ด้วยผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 จำนวน 231.22 ล้านบาท ลดลง 41.77% จากไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้ปี 2554 ทั้งปี บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการขายและบริการรวม 1,673.39 ล้านบาท ลดลง 35.45% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยโครงการหลักที่สร้างรายได้ในปีนี้ ได้แก่ ชวนชื่น เพชรเกษม, ชวนชื่นโมดัส เซนโทรและชวนชื่นโมดัส จรัญฯ-ปิ่นเกล้า ทั้งนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ยกไปในปี 2555 กว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 50% และคอนโดมิเนียม 50% โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งจำนวน
สำหรับในไตรมาสที่ 4/2554 บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 97.46 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น 42.15% สูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งมีอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น 38.10% รวมทั้งปี 2554 บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 669.14 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) 39.99% อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) 39.98% แม้ว่าจะได้บันทึกค่าใช้จ่ายจากสถานการณ์น้ำท่วมจำนวน 6.44 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้าย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในปีนี้ยังลดลงจาก 387.75 ล้านบาท เป็น 365.74 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และจากค่าใช้จ่ายซึ่งแปรผันตามการโอนกรรมสิทธิ์ อย่างไรก็ดียอดรายได้ที่ลดลงส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to sales) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจาก 14.96% เป็น 21.86% หลังจากหักดอกเบี้ยและภาษีแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 234.02 ล้านบาท ลดลงจาก 536.60 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้เท่ากับ 13.63% ลดลงจากอัตรา 19.98% ในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ในส่วนของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 330.81 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จาก 6,442.36 ล้านบาท เป็น 6,773.18 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ สอดคล้องกับหนี้สินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 371.54 ล้านบาท จาก 1,500.39 ล้านบาท เป็น 1,871.93 ล้านบาท จากการกู้เพิ่มเพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ และเพื่อรองรับการขยายตัวในภาคธุรกิจ รวมถึงการตั้งหนี้สินผลประโยชน์พนักงานจำนวน 69.45 ล้านบาท สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นก็ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเดียวกันนี้ ซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง 40.73 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นปี 2554 จึงปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจาก 0.30 เท่าเป็น 0.38 เท่า