ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต "เอเชีย มัลติมีเดีย" ที่ระดับ "BBB"

ข่าวทั่วไป Thursday April 8, 2004 08:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอเชีย มัลติมีเดีย จำกัด (AM) ที่ระดับ "BBB" ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งของการเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารแก่ บริษัท ยูบีซี เคเบิ้ล เน็ตเวอร์ค จำกัด (มหาชน) (UBC) ซึ่งเป็นผู้นำในการให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกในประเทศไทย รวมทั้งสะท้อนโอกาสในการเติบโตของธุรกิจบริการสื่อสารข้อมูล การผสานประโยชน์ทางธุรกิจกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) ซึ่งเดิมคือ บริษัท เทเลคอมเอเซีย จำกัด (มหาชน) (TA) และสถานะทางการเงินของบริษัทในระดับปานกลางที่มีกำไรในสัดส่วนที่สูงและกระแสเงินสดที่พอเพียง โดยเงินกู้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากรับโอนหนี้มาจาก บริษัท เทเลคอม โฮลดิ้ง จำกัด (TH) ซึ่งเป็นบริษัทแม่เพื่อแลกกับการได้หุ้นของ UBC จำนวน 133.18 ล้านหุ้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บริหารที่จะไม่รับโอนหนี้หรือให้การค้ำประกันรวมทั้งให้เงินกู้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากโครงข่ายสื่อสารข้อมูลรูปแบบอื่นที่ให้บริการทดแทนกันได้ ตลอดจนความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้า และการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นในธุรกิจสื่อสารข้อมูล นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังพิจารณาถึงความไม่แน่นอนของรายได้จากธุรกิจสื่อสารข้อมูลซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทด้วย
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเอเชีย มัลติมีเดีย ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์แบบ Non-Plain Old Telephone Service (non-POT) ระยะเวลา 20 ปี โดยโครงข่าย Hybrid Fiber Coaxial (HFC) ของบริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่า 2.1 ล้านหลังคาเรือนในประเทศไทย บริษัทมีสัญญาในการเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารแก่ UBC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกในประเทศไทยเพียงรายเดียวที่ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกยังมีโอกาสในการเติบโตยิ่งขึ้นเนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้บริการต่อจำนวนครัวเรือนทั้งหมดที่ยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น นอกจากนี้ การใช้จ่ายเพื่อการสันทนาการและบันเทิงยังคาดว่าจะสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวด้วย อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของสมาชิก UBC ในช่วงปี 2545-2546 เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องมาจากมีผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกที่ไม่มีใบอนุญาต และอัตราค่าสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ โทรทัศน์ระบบผ่านสายเคเบิ้ล หรือ เคเบิ้ลทีวี (CATV) และโทรทัศน์ระบบผ่านดาวเทียม (DSTV) ณ เดือนธันวาคม 2546 UBC มีสมาชิก CATV จำนวน 138,212 ราย คิดเป็น 32% ของสมาชิกทั้งหมด ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา CATV เสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้แก่ DSTV อย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจาก 44% ในปี 2542 เป็น 32% ในปี 2546 เนื่องจาก CATV ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ได้น้อยกว่า ทว่ามีคุณภาพในการส่งสัญญาณที่ดีกว่าและไม่มีปัญหาสัญญาณล่าช้า แม้จะมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าเนื่องจากในช่วงปี 2544-2546 รายได้กว่า 80% ของบริษัทมาจาก UBC แต่สัดส่วนดังกล่าวคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 60% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทจะเน้นธุรกิจให้บริการสื่อสารข้อมูลมากขึ้น
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า จำนวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและบริการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ ธุรกิจมีแนวโน้มที่สดใสเนื่องจากมีความต้องการทั้งจากกลุ่มลูกค้าองค์กรและลูกค้ารายย่อย ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยก็เป็นปัจจัยหลักอีกประการหนึ่งที่จะกระตุ้นความต้องการบริการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในแง่ของอุปทานแล้วจะเห็นว่ามีจำนวนผู้ให้บริการในตลาดมากขึ้นและอัตราค่าบริการลดลงเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งอยู่ในทิศทางเดียวกันกับตลาดโลก
นอกเหนือจากการมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นระหว่าง AM กลุ่ม UBC และ TRUE แล้ว AM ยังเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารหลักที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญให้แก่ UBC และกลุ่มบริษัท TRUE ด้วย บริษัทยังมีฝ่ายการตลาดซึ่งจะให้บริการต่างๆ แก่ลูกค้า เช่น บริการ Cable Modem และบริการสื่อสารข้อมูล การเป็นบริษัทย่อยของกลุ่ม TRUE ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการรวมการให้บริการแก่ลูกค้าไปพร้อมกับกลุ่มบริษัท ทั้งนี้ กลุ่ม TRUE สามารถนำเสนอสินค้าและให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วนและหลากหลายทั้งบริการโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์ ไร้สาย อินเทอร์เน็ต และมัลติมีเดีย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งกล่าวว่าการให้อันดับเครดิตมีการพิจารณาลักษณะการพึ่งพาบริษัทแม่ดังกล่าวด้วย
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อทุนที่ 30.8% แต่หลังจากการออกหุ้นกู้เพื่อชำระคืนเงินกู้เดิมและลงทุนสร้างโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) แล้ว หนี้สินทั้งหมดของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 1,722 ล้านบาทเป็น 2,200 ล้านบาท บริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาทในการสร้างโครงข่ายใยแก้วนำแสงเพื่อสนับสนุนลูกค้าธุรกิจบริการสื่อสารข้อมูลและโครงข่ายสื่อสารและ บริษัท ทีเอ ออเร้นจ์ จำกัด ซึ่งเป็นลูกค้าหลักอีกรายหนึ่ง การให้บริการโครงข่ายสื่อสารแก่ธุรกิจ CATV คาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอประมาณ 400 ล้านบาทต่อปีจากสัญญาการให้บริการโครงข่ายสื่อสารแก่ UBC ซึ่งมีอัตราค่าบริการคงที่ ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้อยู่ที่ระดับ 3.8 เท่าสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2546 ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ