กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--ไอเดียเวิร์คส์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำธุรกิจสีของไทย เปิดเผยทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปี 2555 ชี้สถานการณ์น้ำท่วมส่งผลให้ความต้องการสี-ซ่อม-สร้าง ตลอดจนนวัตกรรมและบริการที่เกี่ยวข้องขยายตัว เชื่อตลาดวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ไทยโดยรวมในปีนี้ยังมีแนวโน้มสดใส พร้อมผลักดันวิสัยทัศน์ชิงความเป็นหนึ่งในตลาดอาเซียนด้วยการพัฒนาทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บุคลากร และช่องทางการจัดจำหน่าย ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีทะลุ 14,000 ล้านบาท
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับ “ทิศทางธุรกิจสีและวัสดุก่อสร้างไทย ปี 2555” ว่า “ธุรกิจสีและวัสดุก่อสร้างในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ตลาดในประเทศฟื้นตัวหลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในกว่า 50 จังหวัด ทำให้ความต้องการซ่อมและสร้าง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคและรายย่อย มีการเติบโตสูงสุด ตามด้วยกลุ่มลูกค้าที่เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่, Modern Trade และ B2B อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมาต้นทุนวัตถุดิบและการผลิตปรับตัวสูงขึ้นแทบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะน้ำมันและไทเทเนียมไดออกไซด์ ส่วนในปีนี้แม้ภาครัฐมีนโยบายปรับค่าแรงค่าแรงเป็นวันละ 300 บาท และเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบบ้าง แต่มาตรการลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในปี พ.ศ. 2555 และลดลงเหลือร้อยละ 20 ในปี พ.ศ.2556 น่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมพร้อมรับมือความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแล้ว เช่น อาจมีการปรับราคาสินค้ากลุ่มสีทาอาคารให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ย้ายสำนักงานจากเอกมัยไปบางนาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวด้านบริหารจัดการมากขึ้น เป็นต้น”
“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้กำหนดวิสัยทัศน์ที่จะก้าวเป็นผู้นำธุรกิจสีอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดส่งออก เนื่องจากการรวมตัวของสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน เป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสทางธุรกิจสูงมาก ขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้มอบหมายให้ทุกฝ่ายงานเร่งพัฒนาบุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่ Country Manager ฝ่ายขายและการตลาด ไปจนถึงฝ่ายบริการลูกค้า เพื่อรองรับการขยายตัวในต่างประเทศ รวมทั้งออกมาตรการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองให้พร้อมสำหรับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นด้วย”
“ทั้งนี้ จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารสูงหรือคอนโดมิเนียม การฟื้นฟูอาคารในแนวราบ เช่น บ้าน ทาวเฮาส์ ทำให้ตลาดสียังมีโอกาสอยู่มาก จากแนวโน้มในปีที่แล้ว ยอดขายจากร้านค้าวัสดุก่อสร้าง งานขายโครงการ ตลอดจนภาคธุรกิจ องค์กร เติบโตตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้มูลค่า 12,000 ล้านบาท จากยอดขายผ่านร้านค้าวัสดุก่อสร้าง หรือร้านค้าปลีกสูงสุดถึง 85% และอื่นๆ อีก 15% ตามความต้องการของตลาดด้านการตกแต่ง ที่ส่งให้การเติบโตเป็นเชิงบวก และจากการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ และงานซ่อมแซมสีในส่วนที่อยู่อาศัย ส่วนเป้าหมายในปี 2555 นี้ คาดหวังต่อการเติบโตในประเทศอยู่ที่ 16% ราว 14,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากต่างประเทศตั้งเป้าไว้ที่ 2,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นเป้าหมายเติบโตปี 2555 ประมาณ 16,000 ล้านบาท
นอกจากนี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอเอ ยังได้มองภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างไว้ว่า คาดว่าในปีนี้ หลายปัจจัยจะเป็นแรงส่งให้ธุรกิจคอนโดมีเนียมเติบโตรวดเร็ว จากข้อกำหนดผังเมืองรวมของ กทม. ฉบับใหม่ทำให้พื้นที่ในการพัฒนาโครงการใหม่จำกัดลง เร่งให้ผู้ประกอบการสร้างคอนโดมีเนียม อพาร์ทเม้นท์ หอพักเพิ่มในพื้นที่ซอยแคบ สอดรับกับความต้องการอาคารสูงที่น่าจะ บูมจากผลกระทบน้ำท่วม แต่โอกาสจะเอื้อกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีทุนหนา เพราะที่ดินหายากและราคาแพง ผิดกับตลาดบ้านแนวราบที่อาจซบเซาในช่วงครึ่งแรกจากความกังวลในทำเลเสี่ยงน้ำท่วม ขณะที่เจ้าของโครงการก็อาจต้องชะลอการลงทุนในบางโครงการที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง และลงทุนวางระบบป้องกันน้ำท่วมซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนในจังหวะที่ราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงปรับขึ้น สำหรับภาพรวมของตลาดสีทาอาคารปี 2011 เราคาดว่า มีมูลค่ารวมทั้งตลาดอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตจากปีก่อนที่ 10% แบ่งเป็นตลาด Premium & Ultra Premium 35% Medium 45% และEco 20% โดยทีโอเอมีส่วนแบ่ง Premium & Ultra Premium 75% Medium 45% และEco 27% รวมส่วนแบ่งทางการตลาดทีโอเอยังคงที่ 54% และตั้งเป้าการเติบโตปี 2012 ไว้ที่ 16%
นายพงษ์เชิด จามีกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและการตลาด บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์ด้านต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายในปี 2555 ไว้ดังนี้
ด้านผลิตภัณฑ์ จะเน้นนำเสนอนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลากหลาย ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสีเพื่อการตกแต่ง (Decorative) ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ทีโอเอยังมีนโยบายการเพิ่มเครื่องผสมสีคอมพิวเตอร์ TOA Color World ทั้งตลาดในและต่างประเทศ เพราะเครื่องผสมสีได้กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญของร้านค้า ทั้งช่วยบริหารจัดการคลังสินค้า และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันที ในเรื่องความหลากหลายของเฉดสีให้ลูกค้าได้มากมาย โดยเป้าหมายปีนี้ของการเพิ่มเครื่องผสมสีของทีโอเอทั้งในและต่างประเทศ คือ มากกว่า 3,000 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศ 2,000 เครื่อง และกระจายในต่างประเทศอีก 1,000 เครื่อง
ด้านการตลาดและการขาย แม้ว่าทีโอเอจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำธุรกิจสีอันดับหนึ่งของไทยด้วยคุณภาพที่ได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลกอยู่แล้ว แต่จะผนวกความเชี่ยวชาญและความเป็นมืออาชีพ รวมทั้งตอกย้ำแบรนด์ทีโอเอในฐานะผู้นำนวัตกรรมและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อครองใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในระยะยาว พร้อมทั้งยังมีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น TOA The King of Wood ปีที่ 3 เป็นต้น
ด้านช่องทางจัดจำหน่าย เพราะความเป็นผู้ในตลาด เราจึงมุ่งขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มเติม เพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะการขยายไปยังร้านค้าในตลาดภูมิภาค ในรอบ 3-5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนช่องทางจัดหน่ายของทีโอเอ ในกรุงเทพและปริมณฑล กับตลาดต่างจังหวัด คิดเป็นสัดส่วน 50:50 แต่ ณ ปัจจุบัน สัดส่วนอยู่ที่ 40:60 เป็นผลจากการเติบโต และนโยบายมุ่งขยายไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นของทีโอเอ ซึ่งคาดว่า สัดส่วนนี้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามอัตราการเติบโตในภูมิภาคของไทย
ด้านบริการ จะเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคและให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคงานสี รวมถึงการรับประกันการจัดส่งสินค้าภายหลังได้รับคำสั่งซื้อไม่เกินกว่า 36 ชั่วโมง และไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของการสั่งซื้อทั้งหมด เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอเอ ยังได้กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปิดตลาด AEC ไว้ว่า “ทีโอเอได้เตรียมพร้อมกับการเปิดตลาด AEC มาพอสมควรแล้ว ทั้งในการขยายโรงงาน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต การเตรียมด้านบุคลากร และการวางเป้าหมายยอดขาย โดยคาดว่า ในปี 2015 รายได้จากตลาดต่างประเทศจะเป็น 1 ใน 5 ของรายได้รวมบริษัท หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท จากเป้าหมายรวมทั้งหมดที่ยอดขาย 25,000 ล้านบาท นอกจากนี้ เรายังได้ขยายฐานการตลาด และการผลิตสร้างความแข็งแกร่งในหลายประเทศ เวียดนาม มาเลเซีย อินโด พม่า ลาว เขมร และยังมองหาโอกาสที่จะขยายเพิ่มเติม ในตลาด เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ บรูไน และประเทศอื่นๆ ที่มีโอกาสทางธุรกิจ เพื่อสอดรับกับเป้าหมายสำคัญของเรา คือ การสร้าง แบรนด์ TOA ให้เป็น Regional Brand”
“แม้ว่าการเข้าไปแข่งขันในตลาดเหล่านี้ จะต้องแข่งกับแบรนด์ระดับโลกและแบรนด์ท้องถิ่น แต่เราเชื่อมั่นในความได้เปรียบในแง่ของความเข้าใจสภาพภูมิอากาศ และพฤติกรรมผู้บริโภค จากการทำตลาดในประเทศเหล่านี้มาพอสมควร ประกอบกับทีโอเอมีมีนวัตกรรม และเทคโนโลยี ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ที่สามารถตอบรับความต้องการของลูกค้า จึงมั่นใจว่าจะนำแบรนด์ทีโอเอให้เป็นแบรนด์สีอันดับหนึ่งในภูมิภาคได้อย่างแน่นอน” นายจุตภัทร์ กล่าวทิ้งท้าย