กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
เมย์แบงก์ กิมเอ็งมั่นใจปี 2555 ครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ต่อเนื่อง หลังได้เมย์แบงก์ เสริมทัพขับเคลื่อน ย้ำทำงานเป็น “ทีมเวิร์ค” ผลักดันธุรกิจถึงเป้าหมาย ‘มนตรี ศรไพศาล’ ชี้ปีนี้ขยายมาร์เก็ตแชร์ทุกกลุ่ม ด้วยการบริหารงาน 5 เสาหลักธุรกิจ ครบทั้งหลักทรัพย์ อนุพันธ์ และกองทุนรวม มองการค้าเสรีอาเซียนเพิ่มโอกาสการลงทุน และการแข่งขันทางธุรกิจ ส่วนเสรีค่าคอมฯ เชื่อแข่งขันไม่ดุเดือด
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานในปี 2555 ว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2555 และในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ การทำงานเป็นทีมเวิร์ค ที่จะคอยประสานการทำงานทุกอย่างภายใต้ “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” อย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ซึ่งในแต่ละฝ่ายแม้จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบแตกต่างกัน แต่จะทำงานขนานกัน พร้อมเดินควบคู่กันไป โดยมีบริษัทแม่อย่างเมย์แบงก์คอยสนับสนุนเชื่อว่า “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง”จะยังคงครองความเป็นที่ 1 อย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการพัฒนาการทางด้านโครงสร้าง จากการมีธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 1 ของมาเลเซียและใหญ่อันดับ 4 ของอาเซียนอย่างเมย์แบงก์เข้ามาถือหุ้น และถือเป็นโอกาสที่ดีที่ทางเมย์แบงก์ จะมาช่วยสนับสนุนการทำงานของบริษัทฯให้มีความแข็งแกร่ง โดยเมื่อเร็วๆนี้บริษัทฯได้รับความเชื่อถือจากฟิทช์ เรตติ้งเพิ่มขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือเป็น AA- จาก A แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่า บริษัทฯมีศักยภาพที่จะแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่ทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล นอกจากนี้ ยังมีบริการที่ครบครันช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และสามารถขยายฐานนักลงทุนไปยังต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ารายย่อยและสถาบันเป็นจำนวนมาก จนก้าวเป็นโบรกเกอร์อันดับ 1 มาถึง 10 ปี ซึ่งเป้าหมายในปีนี้บริษัทฯจะเน้นขยายฐานทุกกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายย่อยทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่จะเพิ่มส่วนแบ่งจาก 17% เพิ่มเป็น 18% ขณะที่ลูกค้าสถาบันในประเทศมีส่วนแบ่ง 4 - 4.5% ส่วนลูกค้าสถาบันต่างประเทศมีส่วนแบ่งการตลาดในระดับ 2 - 2.5% เชื่อว่าในส่วนของลูกค้าสถาบันจะมีแนวโน้มที่ดีจากการได้เมย์แบงก์เข้ามาสนับสนุน ประกอบกับการพัฒนาบทวิจัยที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยทีมวิเคราะห์วิจัยจากสถาบันระดับโลกเข้ามาช่วยสนับสนุนและจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าสถาบัน ทำให้มาร์เก็ตแชร์ในส่วนนี้อยู่ในระดับ 5 - 6%
ทั้งนี้ รูปแบบการบริหารงานแบบทีมเวิร์คที่กล่าวมาข้างต้นจะสอดคล้องกับการทำงานแบบ 5 เสาหลักทางธุรกิจที่ยึดปฏิบัติ คือ 1.ธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ ที่จะได้กลุ่มของเมย์แบงก์ ช่วยในส่วนของ IB ในเมืองไทยได้อย่างมาก 2.กลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์เพื่อรายย่อย และ 3.ธุรกิจหลักทรัพย์เพื่อนักลงทุนสถาบัน โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจบริษัทฯจะเน้นเรื่องงานวิเคราะห์วิจัยให้ลูกค้าสามารถนำไปใช้งานได้จริง และทันต่อสถาณการณ์การลงทุน ซึ่งหมายรวมถึงงานวิจัยด้านหุ้นและอนุพันธ์ ตลอดจนการลงทุนในกองทุนต่างๆ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่จะสร้างให้ “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง”มีความแตกต่าง 4. ธุรกิจอนุพันธ์ที่ต้องยอมรับว่าในปีที่ผ่านมามีการเติบโตสูงมาก ทางบริษัทฯ จะให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสินค้าใหม่ๆ ที่ทางตลาดอนุพันธ์จะจัดให้มีการซื้อขายรวมทั้งจะมีการออกหุ้นกู้อนุพันธ์ของบริษัทฯ เองด้วย และ 5. ธุรกิจการบริหารกองทุน บลจ.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่ได้ทีมงานผู้มีประสบการณ์ และพร้อมจะผลักดัน ขับเคลื่อนการบริหารงานให้เป็นไปตามแนวทางที่วางไว้ และจะได้รับความช่วยเหลือจากเมย์แบงก์ที่จะเข้ามาเสริมในเรื่องของกองทุนต่างประเทศเช่นกัน
“ต่อจากนี้เราจะเน้นการทำงานเป็น “ทีมเวิร์ค” เกื้อหนุน และส่งเสริมซึ่งกันและกันให้มากขึ้น เหมือนเสาที่จะคอยพยุง และเป็นฐานรากของความมั่นคงที่จะทำให้บริษัทฯเดินไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในทุกกลุ่มธุรกิจจะมีการประสานงาน และบริษัทแม่ อย่างเมย์แบงก์นอกจากจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีแล้ว ยังเป็นเหมือนเครื่องยืนยันความแข็งแกร่ง และความน่าเชื่อถือให้บริษัทฯมากขึ้นทั้งในประเทศและระดับสากล”นายมนตรี กล่าว
สำหรับการแข่งขันภายใต้การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น โดยส่วนตัวมองว่าในระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่ไม่มีการแข่งขันแบบรุนแรง ซึ่งโบรกเกอร์ได้ผ่านช่วงค่าคอมมิชชั่นคงที่ ช่วงการเปิดเสรีครั้งแรก และกลับมาเป็นช่วงกำกับค่าคอมมิชชั่น จนมาถึงการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได จึงเชื่อว่าโบรกเกอร์ทุกรายไม่ต้องการเห็นการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอย่างเช่นสมัยปี 2001
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในประเทศปีนี้ ยอมรับว่าบริษัทฯยังให้น้ำหนักปัญหาหนี้สินในยุโรปเป็นหลัก ขณะที่ปัญหาทางการเมืองมองว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น โดยประเมินว่าอัตราการเติบโตของบริษัทฯต่างๆในปีนี้ เฉลี่ยที่ 7 - 8% PE ที่ 12 เท่า ทั้งนี้ จากเดิมประเมินดัชนีไว้ที่ 1,090 จุด แต่ ณ ปัจจุบันต้องทบทวนใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในขณะนี้ถือว่าค่อนข้างแพง แต่ยังลงทุนได้ด้วยความระมัดระวังเพียง 40 - 50% ของพอร์ตลงทุน
นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวถึงกลยุทธ์การดำเนินงานว่า “บริษัทฯ มีเป้าหมายชัดเจนในระยะยาวที่จะเป็นผู้นำโบรกเกอร์ในอาเซียนโดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดด้านรายย่อยจากปัจจุบันอยู่ที่ 17 % เป็น 22 % ในปี 2559 และในปีนี้มีเป้าหมายในการขยายจำนวนบัญชี 20% จากปัจจุบัน โดยปัจจุบันมีบัญชีที่เคลื่อนไหว 50,000 กว่าบัญชี โดยเน้นหลักการขยายฐานด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจในสินค้าต่างๆ แก่ลูกค้าทั้งหุ้นและอนุพันธ์ให้รับรู้ถึงความเสี่ยง และเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับตนเอง ผ่านการบริการที่เปี่ยมคุณภาพเพื่อสร้างจุดยืนที่แตกต่างให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” ของเรา
การพัฒนาบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ แม่นยำ ครอบคลุมหลากหลายรูปแบบ ทั้งกลยุทธ์ประจำวัน วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แยกเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมและวิเคราะห์ด้านเทคนิคให้มากยิ่งขึ้น ถือเป็นนโยบายที่บริษัทฯ ยึดเป็นแนวทางมาตลอด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการจัดทำบทวิเคราะห์ด้านอนุพันธ์ให้มากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาการซื้อขายอนุพันธ์เติบโตเกือบเท่าตัว นักลงทุนสนใจสินค้าเหล่านี้มาก ไม่ว่าจะเป็น SET50 Futures, Gold Futures นอกจากนี้ บริษัทฯ เน้นให้บุคลากรเพิ่มพูนความรู้พัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องก้าวทันกับพัฒนาการของตลาดทุนโดยจัดตารางอบรมบุคลากรตลอดทั้งปี สร้างคุณภาพให้เจ้าหน้าที่การตลาดเป็นที่น่าเชื่อถือและมีความเป็นมืออาชีพในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน (Investment Consultant) ให้แก่ลูกค้า ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ไม่หยุดยั้งในการพัฒนาโปรแกรมการซื้อขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าโปรแกรมการส่งคำสั่งซื้อขายของบริษัทฯ มีความทันสมัย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและใช้งานง่ายนอกจากนี้ ยังต้องพัฒนาโปรแกรมให้ทันกับเทคโนโลยีและอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่ออกมาสู่ท้องตลาด เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าของเรา
ในปีนี้บริษัทฯ พร้อมเต็มที่สำหรับการแข่งขันหลังเปิดเสรี โดยเน้นจัดกิจกรรมทางการตลาดที่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อตอบแทนลูกค้าผ่านโปรโมชั่นที่หลากหลายทั้งแบบรวมทุกสินค้าหรือเฉพาะสินค้า เช่น บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) ตราสารอนุพันธ์ และใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ฯ รวมทั้งยังจัดโปรโมชั่นร่วมกับ บลจ. กิมเอ็ง อาทิเช่น สะสมคะแนน Wealthy Points รับหน่วยลงทุนของ บลจ. กิมเอ็ง ทั้งนี้ จะเน้นโปรโมชั่นที่ตื่นเต้นแปลกใหม่ออกมาตลอดทั้งปี ตลอดจนเพิ่มกิจกรรมสัมมนาที่เน้นให้ความรู้กับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตามรูปแบบ ความถนัด และความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมถึงการมุ่งเน้นสื่อสารผ่าน Social Media เพิ่มช่องทางในการสื่อสารกับนักลงทุนรุ่นใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สำคัญในอนาคต
สำหรับแผนการเปิดสาขาใหม่ บริษัทฯ กำลังดำเนินการเตรียมเปิดสาขาเพิ่มในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในเร็วๆ นี้ และเปิดเพิ่มในกรุงเทพฯ อีก 2 - 3 สาขาภายในปีนี้ เพื่อให้สามารถบริการนักลงทุนได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น รวมทั้งพัฒนาธุรกิจใหม่ โดยเพิ่มบริการด้าน Wealth Management Service ซึ่งเริ่มเปิดบริการตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2554 ที่ผ่านมา เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนการลงทุน การซื้อขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อลงทุนตามที่กำหนดไว้ ทั้งหุ้น อนุพันธ์ กองทุนรวม ซึ่งครอบคลุมทั้งการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศ (on-shore) และการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ (off-shore) พร้อมสรุปรายงานผลประกอบการให้นักลงทุนได้ทราบเป็นระยะๆ
ด้านบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ (Off Shore Trading) โดยการให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศครอบคลุม 4 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงค์โปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกซื้อขายหุ้นในต่างประเทศผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดหรือผ่านระบบอินเทอร์เน็ทด้วยตนเอง คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 นี้
นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้เสริมทัพสายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นโดยมี ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์, CFA เข้ามาดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมผลักดันบริการด้าน Off Shore Trading และการเปิดการเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์อาเซียน (Asian Linkage) นับเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทต่างๆ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยมีอุตสาหกรรมที่น่าสนใจหลายด้าน อาทิเช่น ด้านการค้าปลีก ด้านอาหาร อุตสาหกรรม ตลอดจนการท่องเที่ยว ในทางตรงกันข้ามยังเป็นโอกาสที่นักลงทุนไทยจะแบ่งเงินไปลงทุนในบริษัทที่น่าสนใจของภูมิภาค เช่น สิงค์โปร์และมาเลเซีย ซึ่งนับเป็นการเปิดทางเลือกและโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งกลุ่มเมย์แบงก์ ในฐานะของผู้นำในอาเซียน (ASEAN Power House) จะเกื้อหนุนและส่งเสริมให้บริษัทฯ เป็นผู้นำในตลาดอาเซียนได้อย่างแน่นอน” นางบุญพร กล่าว
ด้านนายไววิทย์ อุทัยเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ(AUM) ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีแผนเพิ่มกองทุนให้ครอบคลุมทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นกองทุนต่างประเทศ (FIF) ที่เน้นป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนและปกป้องเงินลงทุน โดยคาดว่าจะสามารถเปิดขายไอพีโอได้ใน 1 — 2 เดือนนี้, กองทุนตราสารหนี้ที่วางแผนออกไตรมาสละ 1 กองทุน, กองทุนหุ้น และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นกองทุนที่น่าสนใจ ซึ่งบริษัทฯมีการร่วมลงนามในสัญญา (MOU) กองทุนอสังหาริมทรัพย์เรียบร้อยแล้ว 3 กอง มูลค่ารวมประมาณ 4,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทฯ จะเปิดขายไอพีโอได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
ขณะที่กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) น่าจะได้รับความสนใจและเติบโตได้ในอนาคต หลังจากที่มีการคุ้มครองเงินฝากจะลดเหลือเพียง 1 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคม โดยขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างกำลังดำเนินงานขอใบอนุญาต (license) กับทางกระทรวงการคลังซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติเร็วๆ นี้
“ด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และแรงสนับสนุนด้านข้อมูล รวมถึงช่องทางจากเมย์แบงก์ กิมเอ็ง จะช่วยให้การดำเนินงานของ บลจ. เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่ง บลจ.ที่เป็นหน่วยงานใหม่ในบริษัทฯ แต่ทีมงานเราเป็นทีมงานที่มีความเชียวชาญในด้านนี้มาหลายปี จากระยะเวลาประมาณ 3 เดือนกว่าๆ ที่มาร่วมงาน เราสามารถเซ็น MOU กองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีมูลค่ากองทุนกว่า 4,300 ล้านบาท ดังนั้น เป้าหมาย AUM ที่ 10,000 ล้านบาทในปีนี้ไม่น่าจะเกินความสามารถ” นายไววิทย์ กล่าว