กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--กรมสรรพากร
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการบริจาคเงินและทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม โดยดำเนินการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) กรณีบุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ ตามมาตรา 47(1) (2) (3) (4) (5) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากรเท่าจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา 47(7) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนนั้น
(2) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์สินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ตามมาตรา 65ตรี(3) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 จะทำให้กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมมีทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนงานวัฒนธรรมเพิ่มขึ้นอันจะเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของชาติสืบต่อไป”
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวจะเป็นการจูงใจให้บุคคลธรรมดาและภาคเอกชนบริจาคเงินและทรัพย์สินเพื่อการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น สามารถนำไปใช้เป็นทุนเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของชาติ รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการแก่ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมและศิลปินอีกด้วย ในส่วนของผลกระทบต่อรายได้ภาษี คาดว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ทางภาษีเพียงเล็กน้อย”