เหมราชประกาศ ปี 2554 กำไรสุทธิ 537 ล้านบาท

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 29, 2012 12:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 ก.พ.--BrandComm เหมราชประกาศ ปี 2554 กำไรสุทธิ 537 ล้านบาท - กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้สำหรับปี 2554 เป็น 780.2 ล้านบาท - ปรับเป้าหมายยอดขายที่ดินนิมคมอุตสาหกรรมปี 2555 เป็น 1,700 ไร่ บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานและผลประกอบการด้านการเงินสำหรับปี 2554 สรุปได้ดังนี้ กำไรสุทธิ สำหรับปี 2554 เหมราชฯ รายงานกำไรสุทธิทั้งหมด 536.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 62 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาแบบปรับปรุงแล้ว กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.055 บาทต่อหุ้น เทียบเท่ากับลดลงร้อยละ 62 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา การลดลงของกำไรสุทธิสำหรับปี 2554 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการทางบัญชีจากวิธีการรับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จเป็นวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามระบบมาตรฐานการรายงานทางด้านการเงินแบบใหม่ ซึ่งออกโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจากนี้ ยังมีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงสำหรับเกคโค่วัน เป็นจำนวน 243.6 ล้านบาทในปี 2554 เมื่อเทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงเป็นจำนวน 418.3 ล้านบาท กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ สำหรับปี 2554 เป็นจำนวน 780.2 ล้านบาท นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า “บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ได้มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งสำหรับปี 2554 ในทุกธุรกิจของบริษัทฯ เราได้ขยายผลิตภัณฑ์และแหล่งที่มาของรายได้ในขณะที่มีการลงทุนที่ต่อเนื่องที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯในอนาคต การลงทุนของลูกค้าจากอุตสาหรกรรมยานยต์และอุปกรณ์อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ในปี 2554 มียอดขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจำนวน 1,670 ไร่ (668 เอเคอร์ หรือ 267 เฮกเทอร์), มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1, ด้วย 74 สัญญา, 49 ลูกค้ารายใหม่ และ 25 การขยายโครงการจากลูกค้าเดิม, ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในปี 2554 เติบโต 52,594 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่ารวมปี 2553 ผลประกอบการปี 2554 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงระบบมาตรฐานบัญชีในประเทศไทยด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญ ซึ่งก่อให้เกิดความล่าช้าในการบันทึกผลประกอบการและกำไร แม้กระนั้น รายได้ปี 2554 ยังคงค่อนข้างดีด้วยรายได้รวมทั้งหมด 4,150.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากรายได้ปี 2553 ก่อนการปรับปรุง หรือลดลงร้อยละ 4 จากรายได้ปี 2553 แบบปรับปรุงแล้ว ตามลำดับ กำไรสุทธิทั้งหมดเป็น 536.6 ล้านบาท หรือ กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้เป็น 780.2 ล้านบาท โดยเปรียบเทียบกับสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในปี 2553 ก่อนการปรับปรุง เมื่อนำกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ออกทั้ง 2 ปี ประเทศไทยประสบกับมหาอุทกภัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบริเวณภาคกลางตอนบนและส่วนเหนือของกรุงเทพเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2554 ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่เดือนหลังจากประเทศญี่ปุ่น อุทกภัยดังกล่าวไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับบริษัทฯและลูกค้าของบริษัทฯ เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯมีชัยภูมิที่เหมาะสมและพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำ บริษัทฯรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียและการขาดแคลนอุปทานทางอ้อม ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตได้เพิ่มคืนกลับสู่สภาวะปกติมากขึ้น รวมทั้งปริมาณสาธารณูปโภค ณ จุดนี้ บริษัทฯได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและด้านเทคนิคแก่พนักงาน ชุมชน อุตสาหกรรม และรัฐบาล เนื่องจากการขาดแคลนอุปทานดังที่กล่าวไว้ ส่งผลให้ในปี 2554 การผลิตรถยนต์สำหรับประเทศไทยมีจำนวน 1.457 ล้านคัน ลดลงจากที่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า 1.8 ล้านคัน (อันดับที่ 12 ของโลก) การคาดการณ์สำหรับปี 2555 จะพื้นฟูกลับมาเป็น 1.9 ล้านคัน และเป็น 2.5 ล้านคัน และเป็น 3.0 ล้านคัน ในอีก 3-6 ปีข้างหน้า นโยบายการลงทุนของบริษัทฯ จะดำเนินต่อไปในธุรกิจหลัก คือ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภค พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯได้เล็งเห็นถึงอุปสงค์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า คลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งใหม่ และการเพิ่มกำลังการผลิตของระบบสาธารณูปโภค ประเทศไทยดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และอื่นๆ ด้วยการได้เปรียบในด้านต่างๆเช่น ต้นทุน อัตราแลกเปลี่ยน และการเข้าถึงตลาดในภูมิภาค ส่งผลให้มีอุปสงค์ด้านนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น บริษัทฯได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายนิคมอุตสาหกรรมในปี 2555 เป็น 1,700 ไร่ จากเดิม ที่ 1,500 ไร่ สำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงาน บริษัทได้ลงทุนจำนวน 4,500 ล้านบาท และถือหุ้นร้อยละ 35 ในโครงการเกคโค่วัน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาด 660 เมกะที่จะเปิดดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เข้าร่วมโดยการเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 25 ในโรงงานไฟฟ้าเอสพีพีอีก 8 แห่ง เนื่องจากรายได้ทั้งจาก นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภค และรายได้ค่าเช่าที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนำมาซึ่งการขยายฐานรายได้ให้กว้างขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ และจากการมาตรฐานบัญชีใหม่ที่บันทึกรายได้จากการโอนที่ดินจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆซึ่งจะสะท้อนถึงการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว” รายได้รวมและผลการดำเนินงานสำหรับปี 2554 บริษัทฯได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการทางบัญชีในประเทศไทย สำหรับปี 2554 บริษัทฯมีรายได้รวมจำนวน 4,150.5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับที่ปรับปรุงแล้ว 4,322.1 ล้านบาท กับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 เทียบเท่ากับลดลงร้อยละ 4 โดยมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักจำนวน 4,231.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 5 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 รายได้การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมสำหรับปี 2554 ซึ่งรวมกำไรจากนิคมอุตสาหกรรมร่วมของบริษัทฯเป็นจำนวน 1,784.5 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 17 อย่างไรก็ตาม ยังมีรายได้จากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้อีกเป็นจำนวน 1,893 ล้านบาทด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามระบบมาตรฐานการรายงานทางด้านการเงินแบบใหม่ ซึ่งออกโดยสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากการรับรู้ตามการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่จะรอการรับรู้ในช่วง 3-18 เดือนข้างหน้า รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 1,161.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น และการรวมกิจการของเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชสระบุรี และเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยอง รายได้ของสาธารณูปโภครวมซึ่งประกอบด้วยสาธารณูปโภคนิคมอุตสาหกรรม ปันผลจากบริษัทร่วมสาธารณูปโภคพลังงาน และสาธารณูปโภคอื่นๆและค่าธรรมเนียมค่าบริการเพิ่มขึ้นเป็น 1,230.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 รายได้จากค่าเช่าและการให้บริการการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 573.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่รวมถึงการขายโรงงานสำเร็จรูป การขายโครงการที่พักอาศัย ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ลดลงเป็น 643.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 14 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,789.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 1,287.9 ล้านบาท ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ร้อยละ 43 และร้อยละ 31 ตามลำดับ เหตุการณ์สำคัญสำหรับปี 2554 -บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2554 จำนวน1,670 ไร่ จาก 74 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 49 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 25 ราย ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บริษัทฯมีจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 475 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 717 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 167 รายจากจำนวน 254 สัญญา -แคทเทอร์พิลล่าซื้อที่ดินทั้งหมด 272 ไร่ที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยองสำหรับกลุ่มธุรกิจเพื่อสนับสนุนการขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและแอฟริกา -การลงทุนในโครงการพลังงานอย่างต่อเนื่องโดยบริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 35 ในโครงการเกคโค่วัน ไอพีพี ในการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และโครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพีอีก 8 แห่งที่อยู่ภายใต้การพัฒนา -รายได้จากสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปริมาณการบริโภคที่เพิ่มขึ้นและการควบรวมกิจการของเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชสระบุรี(Hemaraj SIL) และเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยอง (Hemaraj RIL) ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2553 -บริษัทฯมีสัญญาเช่าโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 หรือ คิดให้เป็นพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้น 52,594 ตารางเมตร จากปี 2553 และยังมีสัญญาเช่าหรือขายล่วงหน้า 30,000 ตารางเมตรในปี 2555 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เหตุการณ์สำคัญหลัง ปี 2554 -คณะกรรมการบริษัทได้มีความเห็นที่จะนำเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้มีการจ่ายปันผลครึ่งปีหลังจำนวน 0.030 บาทต่อหุ้น หรือรวมเป็นจำนวน 0.055 บาทต่อหุ้นสำหรับผลประกอบการปี 2554 งบดุลรวมสำหรับ 12 เดือน สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 20,009.7 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 10,880.6 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 9,129.1 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่ 0.78 ต่อ 1 โดยมีเงินสดและเงินฝากเป็นจำนวน 3,994.3 ล้านบาท รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราช สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือ www.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com หรือ 02-719-9555-9 นาย เผ่าพิทยา สมุทรกลิน ผู้อำนวยการ — นักลงทุนสัมพันธ์ และวางแผน บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน ชั้น 18 อาคาร ยู เอ็ม เลขที่ 9 ถนน รามคำแหง สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 ประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ