กรุงเทพฯ--9 มี.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่มีมาอย่างยาวนานในตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้อย่างต่อเนื่องและนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่ารายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ลดลงอย่างมากน่าจะเป็นเพียงภาวะชั่วคราว โดยรายได้ต่อปีของบริษัทน่าจะกลับคืนสู่ระดับปกติประมาณ 2,000-2,500 ล้านบาทได้ในปี 2555 และบริษัทน่าจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับปัจจุบันไว้ได้ อย่างไรก็ตาม การลดลงของผลประกอบการและกระแสเงินสดจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทมั่นคงเคหะการเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางที่มีประสบการณ์ยาวนาน บริษัทก่อตั้งในปี 2516 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2533 กลุ่มตระกูลตั้งมติธรรมยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 26% ณ เดือนสิงหาคม 2554 บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลักซึ่งประกอบด้วยบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในระดับราคาเฉลี่ย 3.4 ล้านบาทต่อหลัง ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นอยู่ที่ 2.2 ล้านบาทต่อหลัง และทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นอยู่ที่ 3.8 ล้านบาทต่อหลัง ส่วนราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 1.15 ล้านบาทต่อยูนิต นอกจากนี้ บริษัทยังจัดสรรที่ดินเปล่าในราคาตารางวาละ 15,000-50,000 บาทด้วย รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการขายบ้านซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 86% ของรายได้รวมในปี 2554 ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างซึ่งทำให้บริษัทมีอัตรากำไรในระดับที่น่าพอใจ
ในปี 2554 ยอดขายของบริษัทมั่นคงเคหะการลดลงอยู่ที่ 2,076 ล้านบาท โดยลดลง 10% จาก 2,299 ล้านบาทในปี 2553 ด้วยสาเหตุหลักจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2554 รายได้รวมของบริษัทลดลงอย่างมากเหลือ 1,673 ล้านบาทในปี 2554 จาก 2,592 ล้านบาทในปี 2553 จากปริมาณการโอนที่ลดลงเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปี 2554 อ่อนตัวลงจากสาเหตุหลักคือการสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นทางด้านภาษีของรัฐบาลเมื่อช่วงกลางปี 2553 และจากการมียอดขายที่ลดลงด้วย บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ 19.62% ในปี 2554 ลดลงจาก 26.00% ในปี 2553 โดยผลประกอบการที่ลดลงและภาระหนี้ที่สูงขึ้นบั่นทอนความเข้มแข็งของกระแสเงินสดของบริษัท ทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 17.15% ในปี 2554 จาก 56.91% ในปี 2553 บริษัทมีภาระหนี้ที่ถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 215 ล้านบาทเท่านั้น และการที่บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 1,200 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับที่ต่ำ (20.13%) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ทำให้สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า จากวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ในปลายปี 2554 ทำให้คาดว่ายอดขายที่อยู่อาศัยจะชะลอลงโดยเฉพาะในทำเลที่เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก ทั้งนี้ บริษัทมี 3 โครงการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะน้ำท่วม โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 มูลค่าเหลือขายของทั้ง 3 โครงการอยู่ที่ 568 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมดจากทุกโครงการ นอกจากนี้ บริษัทได้บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมอีก 6.44 ล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554
ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายโดยเฉพาะรายที่เน้นทำโครงการแนวราบมีรายได้และกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ นโยบายสนับสนุนด้านภาษีและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปลอดดอกเบี้ยของรัฐบาลอาจไม่มีผลกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาสต่อ ๆ ไปเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลมีผลบังคับใช้ และภาระหนี้ของผู้ประกอบการที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) (MK)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)