กรุงเทพฯ--9 มี.ค.--พีอาร์พีเดีย
ไออาร์ซีพี บริษัทผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างครบวงจร ประกาศผลการดำเนินงานปี 2554 กวาดรายได้เพิ่มขึ้น 10% สวนตลาดไอทีหดตัว เพราะพิษน้ำท่วม ตั้งเป้าเติบโตปี 55 ไว้ที่ 20%
นายกังวาล กุศลธรรมรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ ไออาร์ซีพี (IRCP) กล่าวสรุปผลประกอบการในปีที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,225.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.08 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 32.06 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ แล้ว มาจากรายได้จากการขายสินค้าประเภทอุปกรณ์บริหารเครือข่ายในลูกค้ากลุ่มหน่วยงานราชการเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของลูกค้าเอกชนเองก็มีอัตราเติบโตขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังมีแบ็คล็อก ณ สิ้นปี 2554 อยู่อีก 200 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 1 กว่า 100 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากโครงการที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว อาทิ โครงการจ้างเหมา IMS PEA มูลค่าโครงการ 282 ล้านบาท, โครงการบริหารจัดการข้อมูลการใช้โทรศัพท์ (AMS) มูลค่าโครงการ 47.64 ล้านบาท, โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพ DW/DM CAT มูลค่าโครงการ 47.60 ล้านบาท เป็นต้น
นายกังวาล กล่าวเสริมว่า “ไออาร์ซีพี ที่ล้างขาดทุนสะสมหมดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาสหนึ่งปี 2554 ในขณะนี้อยู่ในกระบวนการรอการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ในการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในไตรมาสที่สอง ปี 2555 ซึ่งจะอยู่ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น”
นายกังวาล กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมไอทีในปีที่ผ่านมาว่า มีการหดตัวลงอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่บริษัทฯ เชื่อว่าตลาดโดยรวมจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากหน่วยงานทุกภาคส่วนจำเป็นต้องซื้อสินค้าเข้าไปทดแทนส่วนที่เสียหาย นอกจากนี้ องค์กรใหญ่ทั้งรัฐและเอกชนตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น และเริ่มหันมาให้ความสนใจในการลงทุนติดตั้งโซลูชั่นด้าน Disaster Recovery หรือการกู้ระบบและข้อมูลจากภัยพิบัติ รวมถึงการขยายตัวของระบบ Cloud หรือระบบประมวลผลในรูปแบบการให้บริการ เพื่อแบ่งปันทรัพยากร ซอฟต์แวร์ และข้อมูลต่างๆ สำหรับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับธุรกิจในปัจจุบันของไออาร์ซีพี แบ่งออกเป็น 9 สายธุรกิจ โดยไออาร์ซีพีเองที่เป็นบริษัทแม่จะดูแล 5 สายธุรกิจ ซึ่งจะเน้นในสายธุรกิจระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำหรับลูกค้าในกลุ่มกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม กลุ่มธุรกิจระบบเครือข่ายสารสนเทศ และกลุ่มธุรกิจโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศระดับองค์กร สายธุรกิจการผลิตซ้ำซอฟต์แวร์ สุดท้ายคือ สายธุรกิจสินค้าเพื่อความมั่นคงปลอดภัย ในขณะที่บริษัทย่อยทั้ง 4 บริษัท จะดูแลงานในด้านอื่นๆ ได้แก่ 1) บริษัท ไอที ดิสทริบิวชั่น จำกัด ที่รับผิดชอบสายธุรกิจช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าไอทีประเภทผลิตภัณฑ์ระดับองค์กร 2) บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ซอฟต์แวร์ เดเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่ดูแลสายธุรกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ 3) บริษัท อินเทลลิเจ็นท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คอมพิวติ้ง จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านสายธุรกิจบริการให้คำปรึกษาพัฒนาระบบสารสนเทศ และ 4) บริษัททีวีเทเลคอม จำกัด ที่จะรับผิดชอบสายธุรกิจระบบสนับสนุนธุรกิจ
“หากมองในภาพรวมทางธุรกิจแล้ว ไออาร์ซีพีในขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ประกอบการธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีความเชี่ยวชาญ และศักยภาพรอบด้าน ครอบคลุมงานบริการที่หลากหลาย ทั้งนี้ ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของบริษัทฯโดยไม่พึ่งพาการทำธุรกิจแต่เพียงด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน และเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต”
“บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพของทีมงาน และทิศทางในการดำเนินธุรกิจในขณะนี้ และเชื่อว่าในปี 2555 บริษัทฯ จะสามารถขยายการเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 20% โดยยึดหลักที่ว่า “Surfing on the Wave of Technology” การท่องไปในคลื่นของเทคโนโลยี ไออาร์ซีพีมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมที่สามารถนำเสนอโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงให้แก่ลูกค้า โดยมีกลยุทธ์ที่จะขยายธุรกิจที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า ซึ่งลูกค้าทุกรายของ IRCP จะได้รับบริการที่ครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาในการออกแบบระบบ การพัฒนาระบบ การบำรุงรักษา และการฝึกอบรม” นายกังวาล กล่าว
“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มงบประมาณในการฝึกอบรม วิจัย และพัฒนา เพื่อสร้างศักยภาพของพนักงานในการรองรับการทำงานสำหรับโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากการให้บริการ ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มรายได้ อัตรากำไรขั้นต้น และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องได้มากขึ้น โดยมุ่งจับกลุ่มลูกค้าภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจพลังงาน และองค์กรการศึกษา” นายกังวาล กล่าวสรุป