กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--ปตท.
ฝ่ายบริหารความเสี่ยงราคาและวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันเฉลี่ย สัปดาห์ที่ 5-9 มี.ค. 55 ราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.79 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อน อยู่ที่ระดับ 122.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) เพิ่มขึ้น 0.61 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 124.26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบเวสท์เท็กซัสฯ (WTI) ลดลง 1.23 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลอยู่ที่ 106.31 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาเฉลี่ยน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.48 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 135.18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.36 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 135.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคา ได้แก่
ปัจจัยที่ผลกระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงบวก
- กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือน ก.พ. 55 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 227,000 ราย ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 8.3% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี
- Institute for Supply Management (ISM) ของสหรัฐฯ รายงานตัวเลขดัชนีภาคบริการ (PMI) ในเดือน ก.พ. 55 เพิ่มขึ้น 0.5 จุด จากเดือนก่อน มาอยู่ที่ 57.3 จุด
- ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1% ในเดือน มี.ค. 55 เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 0.5%
- สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (Energy Information Administration: EIA) ปรับลดอัตราการเติบโตของกำลังการผลิตน้ำมันดิบกลุ่ม Non-OPEC ปี 2555 ลง 80,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 52.46 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากปริมาณส่งออกจากแหล่งผลิตในทะเลเหนือ ประเทศเยเมนและซูดานใต้ลดลง
- สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (China’s General Administration of Customs) รายงานปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบของจีนเดือน ก.พ. 55 เพิ่มขึ้น 18.5% จากปีก่อน อยู่ที่ระดับ 5.95 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงลบ
- สำนักงานสถิติของเครือสหภาพยุโรป (Eurostat) รายงานอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของกลุ่มสหภาพยุโรปในปี 2554 อยู่ที่ระดับ 1.4% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.5% ทั้งนี้ปี 2553 อัตราเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มสหภาพยุโรปอยู่ที่ 1.9%
- Markit Economics รายงานดัชนีชี้วัดภาคการผลิต (PMI) ของอังกฤษในเดือน ม.ค. 55 ลดลง 2.2 จุด จากเดือนก่อน มาอยู่ที่ 53.8 จุด
- นายกรัฐมนตรีของจีน Wen Jiabao กล่าวว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2555 จะอยู่ที่ระดับ 7.5% ลดลงจากเป้าหมายเดิมตั้งแต่ปี 2548 ที่ระดับ 8%
- EIA รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 2 มี.ค. 55 เพิ่มขึ้น 0.80 ล้านบาร์เรล หรือ 0.23% จากสัปดาห์ก่อน อยู่ที่ 345.70 ล้านบาร์เรล
- รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิรักรายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในประเทศเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตมาอยู่ที่ 3.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในสิ้นปีนี้
- บริษัท Shell มีแผนหยุดรับน้ำมันดิบของอิหร่านซึ่งปัจจุบันมีสัญญาส่งมอบให้โรงกลั่นในยุโรปและญี่ปุ่นแห่งละประมาณ 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในเดือน มี.ค. 55
แนวโน้มราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ราคาน้ำมันมีความผันผวนปรับตัวขึ้นลงตามปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางจิตวิทยา โดยนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังข้อมูลทางเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง โดยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน ก.พ. 55 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และอัตราการว่างงานอยู่ที่ 8.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี นอกจากนั้นรัฐบาลกรีซสามารถเจรจากับเจ้าหนี้เอกชนในการถ่ายโอนหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะยาว (Debt Swap) ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้กรีซได้รับเงินช่วยเหลือครั้งที่ 2 มูลค่า 130,000 ล้านยูโร ส่งผลให้กรีซจะไม่ผิดนัดชำระหนี้ในช่วงเดือน มี.ค. 55 อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนจะหดตัว 0.1% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.3% ประกอบกับ OPEC คงอัตราการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันโลกปี 2555 อยู่ที่ 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังจากมีการลดตัวเลขคาดการณ์ลงเมื่อเดือนก่อน โดย OPEC กล่าวว่าการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันมีความไม่แน่นอน เนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ OECD ยังมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ Bloomberg คาดว่าราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ 12-16 มี.ค. 55 จะปรับตัวลดลง เนื่องจากจะมีการเจรจาเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติและเยอรมนี ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะลดความรุนแรงของราคาน้ำมันลง ในระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมัน Brent และ WTI จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 121-127 USD/BBL และ 104-108 USD/BBL ตามลำดับ