MovieThis Means War

ข่าวบันเทิง Wednesday March 14, 2012 15:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 มี.ค.--MMM Digital Asset คริส ไพน์และทอม ฮาร์ดี้ มาสวมบทบาทของสายลับ CIA มือสังหารระดับโลกที่เป็นทั้งคู่หูที่เป็นเหมือนเงาตามติดกันและเป็นทั้งเพื่อนซี้… จนกระทั่งตกหลุมรักสาวคนเดียวกัน (รีซ วิเธอร์สพูน) ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยช่วยกันปราบเหล่าร้ายทั่วประเทศ แต่ตอนนี้พวกเขานำทักษะความสามารถระดับที่หาตัวจับได้ยากและอุปกรณ์สุดไฮเทคมาต่อกรกับศัตรูตัวฉกาจของทั้ง 2 ฝ่าย แฟรงค์ลิน เดอลาโน่ รูสเวล์ต ฟอสเตอร์หรือที่รู้จักดีในนาม FDR (ไพน์) เป็นหนุ่มหล่อที่มีความอ่อนโยน เชื่อมั่นในตัวเองและมีพรสวรรค์พิเศษเรื่องการดึงดูดสาวสวยๆ เข้ามาหา ส่วน เจมส์ เพื่อนซี้และคู่หูของเขารู้จักกันดีในนามของ ทัค (ฮาร์ดี้) มีลักษณะห้าวหาญ เป็นคนดูดีและเจ้าเล่ห์ แต่ขาดฝีมือเรื่องความรัก เมื่อนำรสนิยมที่เหนือชั้น ทักษะความสามารถอันน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ และภาพลักษณ์ที่ดูดีของพวกเขามารวมเข้ากันแล้ว ทำให้พวกเขาเป็นสายลับ CIA ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่มิตรภาพทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวที่มีมาอย่างยาวนานของ FDR และทัคต้องถูกทดสอบขึ้นเมื่อพวกเขาเริ่มออกเดทกับสาวคนเดียวกันโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนั่นคือ ลอว์เร็น สก็อตต์ (วิเธอร์สพูน) ผู้ประเมิณผลิตภัณฑ์อาวุโสของผู้นำที่ให้การสนับสนุนด้านสื่อสิ่งพิมพ์ของผู้บริโภค เธอมีความรู้ความสนใจด้านผลิตภัณฑ์หลากหลายตั้งแต่เตาอบยันสมาร์ทโฟน และเป็นผู้นำด้านทักษะในที่ทำงานของเธอ เรื่องที่ลอว์เร็นไม่ถนัดคือการพบเจอกับผู้ชาย จนกระทั่ง ทริช (เชลซี แฮนด์เลอร์) เพื่อนสนิทของเธอจัดการแก้ปัญหาให้เธอด้วยการใส่ชื่อลอว์เร็นไว้บนบริการนัดเดทออนไลน์ ซึ่งก่อนหน้านั้นทัคก็ได้เข้าสมัครโดยไม่เต็มใจเหมือนกัน การออกเดทครั้งแรกของทัคและลอว์เร็นเปี่ยมไปด้วยความสดใสและคำสัญญา หลังจากที่ทั้งคู่กล่าวอำลากัน ลอว์เร็นได้เดินเล่นเข้าไปในร้านวีดีโอ ซึ่งบังเอิญกับที่ FDR กำลังสอดส่องมองหารัก โดยไม่รู้มาก่อนว่าลอว์เร็นเพิ่งได้พบกับทัค FDR เกิดความสนใจในตัวเธอขึ้นมาเมื่อเธอปฏิเสธการจ่ายเงินของเขา จนในที่สุดลอว์เร็นตกอยู่ในมนตร์สะกดที่ “ปฏิเสธไม่ลง” และตอบรับการออกเดท ลอว์เร็นไม่อยากเชื่อในโชคที่เข้าข้างเธอ จากที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเธอกลับได้ออกเดทกับ 2 หนุ่มสุดหล่อและเพอร์เฟ็กต์ ในขณะเดียวกันหนุ่มๆ ก็เกิดรู้ขึ้นมาว่าต่างหลงเสน่ห์สาวคนเดียวกันแล้วอย่างลึกซึ้ง การแข่งขันของพวกเขามีความตื่นเต้นเร้าใจขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีข้อตกลงกันว่าคนที่เจ๋งสุดจะเป็นผู้ชนะ เพื่อนจึงกลายเปลี่ยนเป็นศัตรู เทคนิคทุกอย่างที่ซ่อนไว้อยู่ในตำราก็ถูกขุดมาใช้อย่างครบครัน นี่คือเรื่องโกลาหลและเป็นสงคราม “ภาพยนตร์เรื่อง THIS MEANS WAR เป็นเรื่องราวของสุดยอดสายลับของโลก 2 คนที่เป็นทั้งคู่หูและเพื่อนสนิทกันมายาวนานหลายปี จากสถานการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดทำให้พวกเขามาตกหลุมรักกับสาวคนเดียวกัน” ผู้อำนวยการสร้างและผู้เขียนบทภาพยนตร์ ไซมอน คินเบิร์ก เล่าว่า “FDR กับทัคตัดสินใจออกเดทกับลอว์เร็นและดูว่าเธอจะเลือกใคร ทั้งคู่ต่างตกหลุมรักลอว์เร็น พวกเขาแข่งขันกันอย่างถึงพริกถึงขิงและใช้กลเม็ดเทคนิคต่างๆ ของการเป็นสายลับมารังควาญใส่กัน ลอว์เร็นอยากพบกับผู้ชายที่ใช่ โดยเธอไม่รู้เลยว่า FDR กับทัคกำลังสาดสมรภูมิใส่กันเพื่อหวังความรักจากเธอ” เรื่องราวของ “สายลับปะทะสายลับ” ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 เพื่อนสนิทที่มีทักษะความสามารถขั้นเหนือชั้นต้องมาประลองกันเองมีความสำคัญอยู่ที่ความสนุกสนานและฉากแอ็คชั่นของภาพยนตร์ ขณะเดียวกัน แม็คจี ผู้กำกับก็ต้องการเหตุการณ์ที่มีความอลังการงานสร้างให้สอดคล้องกันด้วย “เราอยากนำเสนอในรูปแบบที่ให้ความรู้สึกสมจริงสุดๆ” ผู้ควบคุมเรื่อง Charlie’s Angels และ Terminator: Salvation เล่าว่า “เราไม่ชอบการสร้างที่ดูไร้สาระ และผมอยากใช้บุคลิกท่าทางของทัคและ FDR ที่ ‘สะดุดตา’ ให้เป็นประโยชน์ ผมสงสัยว่าถ้าเจมส์ บอนด์มาปะทะกับ [พระเอกจากเรื่อง Mission: Impossible] อีธาน ฮันต์ พวกเขาจะเตรียมข้อมูลของแต่ละฝ่ายมาเป็นอย่างดีมั้ย? แน่นอนเลยว่าใช่ แต่พวกเขาจะยอมอ่อนข้อมั้ย? ไม่มีทาง ทั้งสองรู้ทักษะของอีกฝ่ายแต่สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ต้องแข่งกับตัวเอง และนั่นคือกลไกที่วิเศษสุดของหนัง” “มันเป็นความฝันของผู้หญิงทุกคนที่จะมีชายหนุ่มสุดฮอตที่เร่าร้อนอย่างเหลือเชื่อมาแก่งแย่งชิงเรา” วิเธอร์สพูน กล่าวว่า “ลอว์เร็นไม่รู้ว่าทัคและ FDR เป็นสายลับให้ CIA ภาพยนตร์เรื่อง THIS MEANS WAR แทบจะเป็นหนังที่แตกต่างกัน 2 เรื่อง เหมือนตัวละครของฉันอยู่ในหนังคอมเมดี้ส่วนตัวละครของคริสกับทอมอยู่ในหนังแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์” วิเธอร์สพูนเองก็ชื่นชอบชีวิตทั้ง 2 ด้านของลอว์เร็นเช่นกัน “ในที่ทำงานลอว์เร็นเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจมาก แต่สำหรับชีวิตส่วนตัวเธอเป็นคนที่ไม่มั่นใจอะไรเลยจริงๆ ฉันคิดว่าหลายคนคงเข้าถึงความรู้สึกของเธอได้ว่า ‘ฉันจะเลือกผู้ชายที่ใช่ได้ถูกคนหรือเปล่า’” ที่แน่นอนคือมันเป็นตัวเลือกที่ยากลำบาก เพราะโจทก์ของเธอ ณ ที่นี้ทั้งหล่อ เท่ห์ โรแมนติก…แถมยังเป็นสายลับที่เก่งที่สุดในโลก สำหรับหลายยุคสมัยผู้ชมภาพยนตร์สนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับฉากตื่นเต้น ฉากน่ากลัว และฉากที่เร่าร้อนของสุดยอดสายลับ “สำหรับ FDR และทัค เราสร้างให้เขาเป็นสายลับพิเศษของหนังคลาสสิค” แม็คจี เล่าว่า “ความน่าตื่นเต้นเร้าใจของโลกใบนั้นเป็นเรื่องของความเป็นกับความตาย มันเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วโลกและเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันกับสิ่งที่ผู้ชมส่วนใหญ่พบเจอในชีวิตประจำวัน ผมคิดว่าพวกเราทุกคนอยากเดินทางไปรอบโลกเพื่อไปยังสถานที่ต่างๆ ในต่างแดน ได้ขับรถในฝัน ได้ยิงปืน และพบกับความรักที่ยากจะต้านทาน เราสนุกกับจุดนั้นและ FDR กับทัคต่างคุ้นเคยกับโลกใบนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อมาถึงเรื่องความรักทั้งคู่กลับเหมือนคนทั่วไปที่ทำอะไรไม่ถูก” สำหรับตัวละครของ FDR ผู้สร้างภาพยนตร์ค้นหาสิ่งที่แม็คจีเรียกว่า “มีความเกเร เป็นคนที่มีความน่ารักแม้ว่าจะมีความมั่นใจตัวเอง และเมื่อพูดถึงเรื่องพลังแห่งการแสดงแล้ว ต้องเป็นคนที่มีรูปร่างดูน่าอัศจรรย์ ซึ่งคริส ไพน์เป็นแชมป์ในระดับเฮฟวี่เวท” ไพน์เป็นหนึ่งในนักแสดงฮอลลีวูดสุดฮอตจากคำชมและความสำเร็จของบ็อกซ์ออฟฟิศในการรับบทแสดงเป็น เจมส์ ที. เคิร์ก ตอนหนุ่มในเรื่อง Star Trek และเป็นผู้ควบคุมรถไฟมือใหม่ในภาพยนตร์แนวดราม่าสุดระทึกใจเรื่อง Unstoppable ไพน์เล่าถึงบทของ FDR ว่าเป็น “ผู้ใช้สินค้าทุกอย่างตั้งแต่วิสกี้รสเลิศ ซิการ์ชั้นดี สูทเท่ห์ๆ รถแรงๆ และสาวสวย โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความสำคัญของมัน เขามีความสุขกับการเป็นสายลับ เขาเป็นพวกที่หากได้ดูหนังเรื่อง James Bond ตอนเด็กแล้วต้องพูดว่า ‘อยากเป็นแบบนั้นจัง’ ไม่มีความเศร้าหรือเรื่องวุ่นวายในชีวิตของ FDR เลย” “แต่ถึงอย่างไรทัคก็มาจากโรงเรียนสอนการจารกรรมที่มีความเคร่งครัดกว่า” ไพน์ เล่าต่อว่า “ทัคเป็นคนที่มีความซับซ้อน ดูน่าสนใจและเป็นคนที่มีความลึกซึ้ง เขาเป็นสายลับที่เหมือนกับสุดยอดนักปราชญ์ ส่วน FDR เป็นสายลับเจ้าเสน่ห์ ทอม ฮาร์ดี้ นักแสดงผู้มากความสามารถรับบทแสดงเป็นทัค ทอมเป็นคนที่มีเสน่ห์และหล่อมาก แถมเขายังนำธรรมชาติของตัวเขาที่มีความซับซ้อนและความคิดแบบชาวอังกฤษมาใส่ในตัวละครของเขาด้วย” การค้นหานักแสดงของผู้สร้างภาพยนตร์เพื่อมารับบทของทัคเป็นที่สิ้นสุดเมื่อพวกเขาได้เห็นการแสดงของฮาร์ดี้ในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมของบ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่อง Inception “ทอมมีทุกสิ่งที่เราต้องการ” คินเบิร์ก จำได้ว่า “อารมณ์ขันของเขามีท่วงทำนองที่แตกต่างกับคริส’ ทอมมีกลิ่นอายแห่งความร้ายกาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการมากในตัวทัค เขามีลักษณะที่ถ่ายทอดความซับซ้อนของตัวละครได้และเขาเหมาะกับบทมากที่สุด” แม้ดูเหมือนว่าฮาร์ดี้จะโด่งดังได้เพียงชั่วข้ามคืนจากผลงานที่โดดเด่นของเขาในเรื่อง Inception แถมเขายังมีการแสดงที่น่าชมเชยมากในภาพยนตร์แนวดราม่าเมื่อไม่นานนี้ เช่น Warrior; Tinker Tailor Soldier Spy, Bronson และ RocknRolla บทบาทของเขาในภาพยนตร์แอ็คชั่นคอมเมดี้ฟอร์มยักษ์ เรื่อง THIS MEANS WAR จึงมีความแตกต่างจากผลงานของเขาในช่วงแรกเริ่ม “ทอมเป็นนักแสดงที่รักความท้าทาย” คินเบิร์ก เล่าว่า “เขาเคยแสดงหนังดราม่าและแอ็คชั่นมามาก ผมเลยคิดว่าความท้าทายที่มีทั้งอารมณ์ขันและความสนุกสนานในเรื่อง THIS MEANS WAR คือสิ่งที่ดึงดูดเขาให้มาร่วมงานด้วย” ขณะเดียวกันฮาร์ดี้ก็ถ่ายทอดผลงานที่มีความแตกต่างจากโอกาสที่เขาเคยแสดงมาก่อนในอดีตอย่างสิ้นเชิง “ในตัวของหนังคอมเมดี้แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงได้เลย” เขาอธิบายว่า “ผมคิดว่ามันจะเหมือนกับการเดินเล่นในสวนสาธารณะ แต่มันกลับยากที่สุดเท่าที่ผมเคยแสดงมาเลย ผมรู้สึกยินดีมากสำหรับการได้รับประสบการณ์” และฮาร์ดี้ก็ให้ความสนใจเพราะโอกาสที่จะได้แสดงร่วมกับวิเธอร์สพูนด้วย “การทำงานร่วมกับรีซเป็นเหมือนที่สุดในหนังแนวคอมเมดี้แล้ว” และผู้ที่มาร่วมแสดงกับวิเธอร์สพูน ไพน์ และฮาร์ดี้ยังมีทิล ชไวเกอร์และเชลซี แฮนด์เลอร์ ชไวเกอร์เป็นนักแสดงหนังชาวเยอรมันที่โด่งดังและเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ เขายังแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Heinrich นักค้าอาวุธสากลผู้คุกคามที่หาทางแก้แค้น FDR กับทัคจากการที่ทำให้น้องชายของเขาเสียชีวิต เขาเป็นที่รู้จักดีของผู้ชมในสหรัฐจากการพลิกบทบาทมาแสดงเป็นจ่าฮิวโก้ สติกลิตซ์ ที่น่าจดจำในผลงานของควินติน ตารานติโน่ เรื่อง Inglourious Basterds ชไวเกอร์เล่าว่าขณะที่บทบาทของเขาในเรื่อง THIS MEANS WAR ซึ่งมีฉากที่อลังการ มันก็ยังมีอะไรที่มากกว่าฉากแอ็คชั่นที่ทรงพลัง “โดยส่วนใหญ่ในเรื่องจะมีแต่ความสนุกสนาน มิตรภาพและความไว้วางใจ” เขากล่าว ผู้มารับบทแสดงเป็น ทริช เพื่อนสนิทของลอว์เร็นคือ เชลซี แฮนด์เลอร์ พิธีกรรายการทอล์คโชว์ยอดฝีมือ นักแสดงตลกและผู้เขียน ทริชรับบทเป็นภรรยาและแม่ผู้มีหน้าที่ให้ความเห็นที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาในเรื่องชีวิตรักของเพื่อนสาวโสดของเธอ “โดยทั่วไปทริชเหมือนฉันเลย เว้นแต่ว่าเธอแต่งงานแล้ว” สาวโสดชื่อดังอย่างแฮนด์เลอร์ เล่าว่า “ทริชไม่ใช่ผู้ให้คำแนะนำที่ดีที่สุด แต่ลอว์เร็นต้องการให้เธอช่วยจุดพลังให้ “‘ฟังนะ ทริชบอกกับลอว์เร็นว่า ‘เธอควรออกไปข้างนอกและทำทุกอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปอยากทำกัน! จากนั้นเลยเริ่มออกไปปาร์ตี้ของ Chaka Khan (ไม่ได้ปรากฏในหนัง)” วิเธอร์สพูนเล่าว่า “ทุกคนต้องมีเพื่อนแรงๆ ที่ชอบทำเรื่องบ้าๆ และเป็นผู้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวกับการออกเดทของเพื่อน ฉันรู้จักเชลซีมาพักหนึ่งแล้ว และมันก็สนุกดีที่เราได้แสดงหนังเรื่องนี้ด้วยกัน เธอเหมาะสำหรับบทบาทสุดๆ” เกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ มันกลายเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจเลยที่ไพน์และฮาร์ดี้ต้องมารับหน้าที่ของสายลับซึ่งมีทั้งฉากแอ็คชั่นและการแสดงผาดโผนที่ต้องใช้ทักษะความสามารถและความกล้าหาญ แต่ผู้ชมเรื่อง THIS MEANS WAR จะเห็น “ตอนแรก” ว่ารีซ วิเธอร์สพูน เข้าไปคลุกคลีกับหนุ่มๆ อย่างเต็มตัว เธอต้องขับรถด้วยความเร็วสูงบนลู่แข่งของทหารในรถคูเป้หัวกุด เธอต้องเหาะข้ามผ่านกระเช้าและสวมหน้ากาก และปืนสั้นของเพนท์บอลอย่างดุเดือดและโหดเหี้ยม “ในตอนสุดท้ายของหนังรีซคือเป้าหมายของการต่อสู้” แม็คจีกล่าว สำหรับการทำให้ FDR และทัคเป็นสายลับ CIA ที่ดูสมจริงเป็นหน้าที่ของพอล มอว์รีซ ที่ปรึกษาด้านกองกำลังทหารผู้ผ่านสมรภูมิรบมาแล้วหลายแห่ง เขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคของ CIA ในภาพยนตร์ มอว์รีซทำงานร่วมกับไพน์และฮาร์ดี้อย่างใกล้ชิด เพื่อทำให้พวกเขามีความชำนาญอย่างสูงด้านการใช้อาวุธพกพาและการต่อสู้ด้วยมือ ผู้ออกแบบฉากมาร์ติน เลจและทีมงานของเขาสร้างฉากแอ็คชั่นของสายลับปะทะสายลับด้วยการประดิษฐ์แก็ตเจ็ทที่ FDR กับทัคใช้งานตอนที่พวกเขาลงมือสาดสงครามใส่กัน ทีมงานของเลจศึกษาเรื่องอาวุธของ CIA และเทคนิคการควบคุมเพื่อทำให้มันดูไฮเทคและวิเศษมากยิ่งขึ้น การเดินช้าๆ ตามประสาชายโสดของ FDR ต้องสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมที่หรูหราแหละความไม่ธรรมดาของตัวเขา ในการสร้างได้พบกับเพนต์เฮาส์อพาร์ทเมนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงย่านไชน่าทาวน์ของแวนคูเวอร์ที่มีสระว่ายน้ำบนหลังคาบ้าน สระน้ำมีพื้นเป็นกระจกทำให้เห็นสระอย่างชัดเจนจากห้องทานข้าวด้านล่าง ตอนเลจแสดงอพาร์ทเมนต์มาแสดงให้แม็คจีดู ผู้กำกับมองแล้วรู้สึกประหลาดที่ได้เห็นสระว่ายน้ำและสาวสวยในชุดบีกินี่วิ่งไปรอบๆ (เลจจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า) หลังจากที่การถ่ายทำเสร็จสิ้นลง แม็คจีและทีมงานของเขาได้ไปลำดับภาพ เรียบเรียงเสียง มิกซ์เสียงและสร้างความน่าประทับใจขั้นสุดท้ายด้วยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ หลังจากนั้นในช่วงโพสต์-โพรดักชั่น พวกเขาจะแสดงภาพยนตร์ให้กลุ่มผู้ชมที่เลือกไว้ เพื่อวัดปฏิกิริยาตอบสนองและปรับเปลี่ยนหนัง ซึ่งการแสดงภาพยนตร์ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม แสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่อง THIS MEANS WAR สร้างความสนุกสนานให้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนโสดและคนที่มีคู่แล้ว ทำให้มีการบอกต่อๆ กันในด้านดี ทำให้สตูดิโอกำหนดวันฉายภาพยนตร์ที่ไม่คาดคิดเอาไว้ นั่นคือ วันวาเลนไทน์ที่เป็นช่วงวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ (ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ฉายวันศุกร์ช่วงสุดสัปดาห์) แต่สำหรับแม็คจีแล้ววันหยุดดูจะเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการฉายที่สุด “ท้ายที่สุดแล้ว” เขากล่าวอย่างชัดเจนว่า “ทุกคนต้องการหนังที่มีฉากแอ็คชั่นในวันวาเลนไทน์บ้างนิดๆ หน่อยๆ!” เกี่ยวกับนักแสดง รีซ วิเธอร์สพูน (ลอว์เร็น สก็อตต์) เจ้าของรางวัล Academy Award? ได้แสดงบทบาทอันยากจะลืมเลือนที่เข้าถึงเหล่านักวิจารณ์และบรรดาผู้ชม ทำให้เธอเป็นนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในฮอลลีวูด ในเดือนธันวาคม 2010 วิเธอร์สพูนได้รับดาวปรากฏอยู่บน Hollywood Walk of Fame ผลงานการแสดงของเธอที่ไม่ธรรมดาเช่นแสดงในบทบาทของ จูน คาร์เตอร์ แคช ร่วมกับวาคีน ฟีนิกซ์ในภาพยนตร์อัตชีวประวัติของ Twentieth Century Fox เรื่อง Walk the Line ทำให้เธอได้รับรางวัล Academy Award ปี 2006 สาขาการแสดงยอดเยี่ยมจากนักแสดงหญิงที่รับบทแสดงนำ, BAFTA, Golden Globe? Award, Screen Actors Guild Award?, New York Film Critics Award, Broadcast Film Critics Award และ People's Choice Award รวมถึงรางวัลอื่นอีก 11 รางวัล ตอนนี้เธออยู่ในช่วงการแสดงเรื่อง Mud กำกับโดยผู้สร้างภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมาแล้วอย่างเจฟ นิโคลส์ ล่าสุดวิเธอร์สพูนปรากฏตัวในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายขายดี เรื่อง Water For Elephants ที่ร่วมงานกับโรเบิร์ต แพททินสัน และ คริสโตเฟอร์ วัลต์ซ และภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง How Do You Know ที่กำกับโดยผู้เขียน-ผู้กำกับเจ้าของรางวัล Academy Award เจมส์ แอล. บรูคส์ นำแสดงโดย โอเว่น วิลสัน, พอล รัดด์ และ แจ็ค นิโคลสัน ตั้งแต่ปี 2007 วิเธอร์สพูนทำหน้าที่เป็น Global Ambassador ของ Avon และเป็น Honorary Chairman ของ Avon Foundation for Women โดยเป็นตัวแทนของมูลนิธิที่มีคุณธรรมและความมุ่งมั่นด้าน Women's Empowerment วิเธอร์สพูนให้การสนับสนุนเรื่องสิทธิของ International Violence Against Women's Act เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นการสนับสนุนที่ครอบคลุมถึงการต่อสู้ที่ใช้ความรุนแรง ถึงแม้จะมีจุดด้อยที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการกุศลของเธอ วิเธอร์สพูนก็เป็นตัวแทนของ Rape Treatment Center ที่ Santa Monica-UCLA Medical Center and Save the Children ตอนนี้เธอทำหน้าที่เป็นประธานของ Children's Defense Fund ร่วมกับผู้ที่เธอเคยร่วมงานด้วยมานานหลายปีในการหาเงินและสร้างกระแสให้กับหลายๆ โปรแกรม เมื่อปีที่แล้วเธอเดินทางไปที่ New Orleans พร้อมกับกลุ่มของผู้หญิงเพื่อเปิด Freedom School แห่งแรกที่นั่น และพวกเธอได้บริจาคให้ศูนย์กลางชุมชนกว่าอีก 13 แห่งในพื้นที่นั้น ในปี 2010 วิเธอร์สพูนได้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่อง Monsters vs. Aliens โดยเธอให้เสียงพากย์ในตัวละครซูซาน เมอร์ฟี่ที่กลายเป็น Ginormica สูง 49 ฟุตหลังจากที่โลกถูกอุกกาบาตพุ่งชน เธอทำตัวกลมกลืนและถูกนำไปสู่สถานที่ลึกลับที่เธอได้พบกับสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ เธอมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องโลกจากการทำลายของนอกโลกที่กำลังจะมาถึง ซึ่งประธานาธิบดีต้องขอความช่วยเหลือจากสัตว์ประหลาดต่างๆ เหล่านี้ ก่อนหน้านี้วิเธอร์สพูนร่วมงานกับวินซ์ วอนห์ ในภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดนิยมของ New Line เรื่อง Four Christmases ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของคู่รักที่ต้องใช้ความพยายามในการไปเยี่ยมพ่อแม่ที่หย่าร้างกันของทั้ง 2 คู่ ในช่วงคริสต์มาสและความยุ่งยากที่ตามมา จนถึงทุกวันนี้ภาพยนตร์กวาดรายได้ไป 156 ล้านเหรียญทั่วโลก วิเธอร์สพูนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Kids Choice Award เมื่อปี 2009 สาขานักแสดงนำหญิงในภาพยนตร์ยอดนิยม อาชีพการแสดงที่มีชื่อเสียงของเธอเริ่มขึ้นเมื่อเธออายุ 14 ปี เธอก้าวมาเป็นนักแสดงสมทบในภาพยนตร์แนวดราม่าที่เกี่ยวกับด้านพัฒนาการ ผลงานของโรเบิร์ต มัลลิแกน เรื่อง The Man in the Moon และเธอได้รับบทแสดงนำอย่างไม่คาดฝัน วิเธอร์สพูนได้แสดงร่วมกับนักแสดงคนอื่นในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Rendition กำกับโดย แกวิน ฮูด ที่ก่อนหน้านี้เขาทุ่มเทให้กับเรื่อง Tsotsi จนคว้ารางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม โดยมีเหล่านักแสดงรวมอย่างเจค กิลเลนฮาล, เมริล สตรีพ, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด และ อลัน อาร์คิน ภาพยนตร์เรื่อง Rendition มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน Toronto Film Festival เมื่อปี 2007 วิเธอร์สพูนรับบทแสดงเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมรับความตายของเธอในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เรื่อง Just Like Heaven และรับบทแสดงเป็นตัวละครที่ตราตรึงใจที่สุดในงานประพันธ์ของชาวอังกฤษ ซึ่งตัวละครนี้มีชื่อว่าเบ็คกี้ ชาร์พที่พยายามไต่เต้าในสังคม ซึ่งเป็นการดัดแปลงของไมร่า แนร์จากนิยายของแท็คเคอรี่ เรื่อง Vanity Fair เธอถ่ายทอดความรักของเด็กสาวทั่วโลกด้วยการแสดงที่น่ารักของเธอในบทของ เอล วูดส์ ในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างน่าประหลาด เรื่อง Legally Blonde และอีก 2 ปีต่อมาเธอทำหน้าที่เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างและแสดงในเรื่อง Legally Blonde 2: Red, White and Blonde ที่เอล วูดส์ศึกษาด้านการเมืองในวอชิงตันเพื่อเป็นการปกป้อง บรูเซอร์ สุนัขพันธุ์ชิวาว่าที่เธอรัก โปรเจ็กต์ภาพยนตร์นอกจากนั้นยังรวมถึง Sweet Home Alabama ซึ่งเป็นการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สำหรับภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้สำหรับผู้หญิง ภาพยนตร์เรื่อง Election ที่รับบทเป็นเทรซี่ ฟลิคได้อย่างตรึงใจ อาจารย์ของเธอ จิม แม็คอัลลิสเตอร์ (แมทธิว โบรเดอริค) กำกับโดย อเล็กซานเดอร์ เพย์น ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวคอมเมดี้เสียดสีที่ได้รับความชื่นชมจากนักวิจารณ์ ทำให้รีซได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก National Society of Film Critics และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe?; ภาพยนตร์วัยรุ่นแนวเคาท์คลาสสิคของ Sony Pictures เรื่อง Cruel Intentions ที่เธอแสดงเป็นจุดแห่งความสนใจของเกมอันชั่วร้ายแห่งอัปเปอร์อีสต์ไซด์; Pleasantville เขียนและกำกับโดยแกรี่ รอสที่เธอกับโทบี้ แม็คไกว์แสดงเป็นพี่น้องสุดทันสมัยที่พบว่าตัวเองติดอยู่ในโลกที่สมบูรณ์แบบของซิตคอมในปี 1950 ในปี 1995 วิเธอร์สพูนได้ร่วมงานกับมาร์ค วาห์ลเบิร์ก ในภาพยนตร์ระทึกขวัญที่มีความอ่อนโยน เรื่อง Fear และได้รับคำชมเรื่องการแสดงของเธอในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง Freeway ซึ่งเป็น Little Red Riding Hood เวอร์ชั่นที่มีความทันสมัย อำนวยการสร้างโดยโอลิเวอร์ สโตน มีการฉายครั้งแรกที่งาน Sundance Film Festival และทำลายสถิติจากการออกอากาศทางช่อง HBO นอกจากบริษัทผลิตภาพยนตร์ของวิเธอร์สพูนที่ชื่อ Type A Films จะสร้างเรื่อง Legally Blonde 2 และ Four Christmases แล้วยังผลิตภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องราวเทพนิยายทันสมัย เรื่อง Penelope นำแสดงโดยคริสติน่า ริคชี่ และ เจมส์ แม็คอวอย คริส ไพน์ (เอฟดีอาร์ ฟอสเตอร์) เผยโฉมขึ้นเป็นนักแสดงหนุ่มสุดฮอตที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูด เมื่อไม่นานนี้คริสแสดงในภาพยนตร์ของ Twentieth Century Fox เรื่อง Unstoppable กำกับโดยโทนี่ สก็อตต์ และร่วมแสดงกับเด็นเซล วอชิงตัน คริสเคยแสดงในภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่อง Welcome to People โดยร่วมงานกับมิเชล ไฟเฟอร์, เอลิซาเบ็ธ แบงค์ส และ โอลิเวีย ไวลด์ ในปี 2009 ไพน์รับบทแสดงเป็น เจมส์ ที. เคิร์ก ในภาพยนตร์ของ Paramount ยอดนิยมที่ทำลายสถิติบ็อกซ์ ออฟฟิศ เรื่อง Star Trek ผลงานของผู้กำกับ เจ.เจ. อับรัมส์ ภาพยนตร์บันทึกเรื่องราวของเคิร์กและลูกเรือที่ USS Enterprise ในช่วงวันแรกๆ เขาจะกลับมารับบทบาทนั้นอีกครั้งในภาพยนตร์ภาคต่อที่กำลังจะมาเร็วๆ นี้ ผลงานที่มีชื่อเสียงของไพน์ยังรวมถึงภาพยนตร์ของ Paramount Vantage เรื่อง Carriers, ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสำหรับการศึกษาเรื่อง Quantum Quest: A Cassini Space Odyssey, ภาพยนตร์เรื่อง Bottle Shock ของผู้เขียน/ผู้กำกับแรนดัล มิลเลอร์, ภาพยนตร์อินดี้เรื่อง Small Town Saturday Night ของผู้เขียน/ผู้กำกับ ไรอัน เคร็ก, ภาพยนตร์แนวดราม่าของโจ คาร์นาฮานที่รวมดาราดังเอาไว้เรื่อง Smokin’ Aces ของ Working Title Films และภาพยนตร์ของ Universal Pictures เรื่อง Blind Dating นำแสดงโดยเอ็ดดี้ เคย์ โธมัส และ เจน ซีย์มัวร์, ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ของ Fox/New Regency เรื่อง Just My Luck ที่ร่วมแสดงกับลินเซย์ โลฮาน และเรื่อง The Princess Diaries 2: Royal Engagement ที่ได้ร่วมงานกับแอน แฮทธะเวย์ สำหรับผลงานทางเวที เมื่อไม่นานนี้ไพน์ได้แสดงในผลงานของมาร์ติน แม็คโดนอห์ เรื่อง The Lieutenant of Inishmore ที่ Mark Taper Forum ในลอส แองเจลิส ในการแสดงที่ได้รับคำชมของบ็อบ เวรินี่ เรื่อง Variety เขาเรียกการแสดงของไพน์ว่า “ตื่นเต้นและน่ากลัวมาก” และต่อมาได้รับคำชมว่า “ผู้ชมชาวไอนิชมอร์ได้เห็นในการแสดงแล้วว่าเป็นผลงานด้านการแสดงละครอันน่าประทับใจอย่างแท้จริง” ในเดือนมีนาคม 2011 คริสได้รับรางวัล “การแสดงนำยอดเยี่ยม” จาก LA Drama Critics Circle สำหรับการแสดงของเขา ไพน์ยังได้รับคำชมอย่างล้นหลามและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Ovation Award เมื่อปี 2009 สำหรับการแสดงของเขาในภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่อง Farragut North ที่แสดงร่วมกับคริส น็อธที่งาน Geffen Playhouse ในลอส แองเจลิส ผลงานละครเวทีที่มีชื่อเสียงของเขายังรวมถึงการแสดงของนีล ลาบิวต์ เรื่อง Fat Pig และที่งาน Geffen Playhouse และ The Atheist ซึ่งเป็นการแสดง off off Broadway แบบเดี่ยว ไพน์สำเร็จการศึกษาจาก University of California เบิร์กเลย์ด้วยปริญญาด้านภาษาอังกฤษ และเขาได้ศึกษาด้านการแสดงที่ American Conservatory Theater และ University of Leeds ในสหรัฐฯ ผลงานละครเวทีที่แพร่หลายของเขาได้รวมถึงการแสดงในผลงานเรื่อง Our Town, American Buffalo, No Exit, Waiting for Godot และ Oreste พ่อแม่ของไพน์คือนักแสดงกวินน์ กิลฟอร์ด และ โรเบิร์ต ไพน์ คุณย่าผู้ล่วงลับไปแล้วของเขาคือแอน กวินน์ผู้เป็นนักแสดงหญิงในภาพยนตร์ยุค 30 และ 40 ทอม ฮาร์ดี้ (ทัค) ได้กลายเป็นนักแสดงของฮอลลีวูดผู้เป็นที่ต้องการมากที่สุดคนหนึ่ง เมื่อไม่นานนี้เขาแสดงในภาพยนตร์แนวดราม่าของ Lionsgate เรื่อง Warrior นำแสดงโดย นิค โนลเต้ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar? และโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน วอนห์รับบทแสดงเป็นนาวิกโยธินทอมมี่ คอนลอนผู้จมปลักอยู่กับเรื่องเศร้าในอดีต เขากลับมาที่บ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีเพื่อขอความช่วยเหลือจากพ่อ (โนลเต้) ให้ฝึกการใช้สปาร์ต้า ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ผู้ชนะเลิศจะได้ทุกสิ่ง ในประวัติศาสตร์ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน เป็นการให้เกียรติสู่การให้อภัยและการสมานฉันท์ ภาพยนตร์เรื่อง Warrior ยังแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายของครอบครัวอีกด้วย ฮาร์ดี้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Tinker, Tailor, Soldier, Spy ร่วมกับโคลิน เฟิร์ธ และ แกรี่ โอล์ดแมน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar สำหรับผลงานการแสดงในเรื่อง ภาพยนตร์สร้างขึ้นจากนิยายคลาสสิคที่เป็นเรื่องราวระทึกขวัญทั่วโลกที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็นเมื่อกลางศตวรรษที่ 20 โดยเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ British Secret Intelligence Service เมื่อไม่นานนี้ฮาร์ดี้ได้แสดงภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่อง The Dark Knight Rises กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน ฮาร์ดี้รับบทแสดงเป็นตัวร้ายที่ชื่อเบน เขาได้ร่วมแสดงกับคริสเตียน เบล, แอน แฮทธะเวย์, โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ และ แกรี่ โอล์ดแมน และเมื่อไม่นานนี้ฮาร์ดี้ยังแสดงภาพยนตร์ของ RedWagon Film เรื่อง The Wettest County ซึ่งเป็นเรื่องราวในยุคที่ห้ามผลิตและขายสุรา โดยพี่น้องสามคนได้ค้นพบธุรกิจการค้าของเถื่อนภายใต้การคุกคามที่ Franklin County รัฐเวอร์จิเนีย โดยมี The Weinstein Co เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์หลังจากปีนั้น ต่อจากนี้ฮาร์ดี้จะแสดงในภาพยนตร์ Mad Max เรื่องใหม่ที่เป็นเหตุการณ์หลังจากสงครามล้างโลก ผลงานของจอร์จ มิลเลอร์เรื่อง Fury Road แสดงร่วมกับชาร์ลีซ ธีรอน ในปี 2009 ฮาร์ดี้ได้รับรางวัล British Independent Film Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการรับบทแสดงนำในภาพยนตร์ระทึกขวัญเมื่อปี 2008 เรื่อง Bronson ผลงานที่เลื่องชื่อของเขายังรวมถึงภาพยนตร์แอ็คชั่นคอมเมดี้ของกาย ริตชี่ เรื่อง RocknRolla ที่ได้ร่วมงานกับเจอราร์ด บัตเลอร์, แธนดี้ นิวตัน, ไอดริส เอลบ้า, มาร์ค สตรอง และ ทอม วิลกินสัน; ภาพยนตร์ของโซเฟีย คอปโพล่า เรื่อง Marie Antoinette ภาพยนตร์ระทึกขวัญเกี่ยวกับอาชญากรรม เรื่อง Layer Cake ที่ได้ร่วมงานกับแดเนียล เคร็ก ภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่อง Inception ที่มีการฉายในช่วงซัมเมอร์ปี 2010 กลายเป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 24 ภาพยนตร์กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน ฮาร์ดี้รับบทแสดงร่วมกับเหล่านักแสดง ได้แก่ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ และ ไมเคิล เคน ภาพยนตร์เกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรที่ทำการก่อจารกรรม โดยคัดลอกข้อมูลลับอันทรงคุณค่าจากจิตใต้สำนึกของเหยื่อในขณะที่กำลังฝัน ฮาร์ดี้เติบโตขึ้นที่อังกฤษ เขาเริ่มอาชีพการแสดงตอนที่ถูกคว้าตัวโดยตรงจาก Drama Centre ในลอนดอนสำหรับบทบาทในมินิซีรี่ส์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ HBO ที่ได้รับรางวัล เรื่อง Band of Brothers อำนวยการสร้างบริหารโดย ทอม แฮงค์ส และ สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก ต่อมาเขาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Black Hawk Down กำกับโดย ริดลีย์ สก็อตต์; Star Trek: Nemesis ที่รับบทแสดงเป็นหัวหน้าเหล่าร้าย; ภาพยนตร์ของพอล แม็คไกวแกน เรื่อง The Reckoning ที่ร่วมงานกับวิลเล็ม ดาโฟ และ พอล เบ็ททานี่ และเรื่อง Dot the I ผลงานแรกจากผู้เขียน/ผู้กำกับ แมทธิว พาร์คฮิล สำหรับผลงานทางทีวี ฮาร์ดี้ได้รับการเสอนชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์ทาง HBO เรื่อง Stuart: A Life Backwards เขารับบทเป็น ฮีธคลิฟฟ์ ในภาพยนตร์ของทาง ITV เมื่อปี 2009 เรื่อง Wuthering Heights ผลงานทางทีวีที่มีชื่อเสียงของฮาร์ดี้ยังรวมถึง เรื่อง Oliver Twist, A for Andromeda, Sweeney Todd, Gideon’s Daughter และ Colditz รวมถึงมินิซีรี่ส์ของทาง BBC เรื่อง The Virgin Queen ที่เขารับบทเป็น โรเบิร์ต ดัดลีย์ คนรักของราชินีเอลิซาเบ็ธ ฮาร์ดี้แสดงละครหลายเรื่องที่ West End ในลอนดอน ได้แก่ Blood และ In Arabia We’d All Be Kings ได้รับรางวัล Outstanding Newcomer Award ที่งาน Evening Standard Theatre Awards เมื่อปี 2003 สำหรับการแสดงของเขาในทั้งสองเรื่อง สำหรับการแสดงเรื่องหลัง เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Olivier Award เมื่อปี 2004 เพิ่มมาอีกด้วย ในปี 2005 ฮาร์ดี้แสดงในผลงานของเบร็ตต์ ซี. ลีโอนาร์ดรอบปฐมทัศน์ที่ลอนดอน เรื่อง Roger and Vanessa ภายใต้การกำกับของโรเบิร์ต เดลาเมียร์ เขาและเดลาเมียร์ยังร่วมเวิร์คช็อป/gym การแสดงละครเรื่อง Shotgun ที่ Theatre 503 ในลอนดอนด้วย นักแสดง ผู้อำนวยการสร้าง ผู้เขียนและผู้กำกับ ทิล ชไวเกอร์ (เฮ็นริช) เป็นผู้สร้างภาพยนตร์และนักแสดงชาวเยอรมันคนหนึ่งที่มีความสำคัญมาก เขาเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์ของตัวเองที่ชื่อ Barefoot Films ในเบอร์ลิน เขาเป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดีของผู้ชมชาวอเมริกันจากการแสดงที่โดดเด่นของเขาในการรับบทเป็น จ่าสิบฮิวโก้ สติกลิตซ์ในตำนานจากภาพยนตร์ที่ตราตรึงใจของควินติน ตารานติโน่ เรื่อง Inglourious Basterds นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และ ไดแอน ครูเกอร์ และเมื่อไม่นานนี้เขาเพิ่งปิดกล้องจากเรื่อง The Courier นำแสดงโดย มิคกี้ โรค ครั้งแรกชไวเกอร์ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและ (ไม่ได้ถูกบันทึกชื่อไว้) ในฐานะผู้กำกับเมื่อปี 1997 ในเรื่อง Knockin’ On Heaven’s Door ภาพยนตร์เป็นที่ชื่นชอบของคอหนังแนวเคาท์ทั่วโลก เขากำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Der Eisbaer (The Polar Bear) ในปี 1998 ชไวเกอร์ได้รับรางวัล Bambi Award จากเรื่อง Barfuss (Barefoot) ที่เขาเขียน กำกับ และแสดงในเรื่อง เขายังคว้ารางวัล Bambi สำหรับการรับบทแสดงนำในเรื่อง Raumschiff Surprise (Dreamship Surprise) ภาพยนตร์เรื่อง Keinorhasen (Rabbit Without Ears) มีการเขียน อำนวยการสร้าง และกำกับโดยชไวเกอร์ และได้เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโรงภาพยนตร์ประเทศเยอรมันเมื่อปี 2008 ภาพยนตร์ได้รับรางวัล Bambi Award อันทรงเกียรติ, Bavarian Film Award, German Comedy Award, Diva Award 2 รางวัล, Jupiter Award และ Ernst Lubitsch Award ภาพยนตร์ภาคต่อที่ชื่อ Zweiohrkueken (Rabbit Without Ears 2) มีการฉายในปีต่อมาและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการมีผู้ชมมากกว่า 4.2 ล้านคน ต่อมาชไวเกอร์ได้กำกับ อำนวยการสร้างและแสดงในเรื่อง 1 ? Ritter (1 ? Knights) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงที่มีการฉายเมื่อปี 2008 เมื่อไม่นานนี้เขาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ผู้ร่วมเขียน ผู้อำนวยการสร้างและแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Koko??h ที่เขาแสดงร่วมกับ เอ็มม่า ชไวเกอร์ ลูกสาวของเขาเอง ชไวเกอร์ปรากฏตัวในฐานะของนักแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1991 ในเรื่อง Manta, Manta บทบาทในทีวีและภาพยนตร์ที่ตามมาต่อจากนั้นยังมีเรื่อง Der Bewegte Mann (The Most Desired Man), Maennerpension (Jailbirds), Das M?dchen Rosemarie (The Girl Rosemarie), Bastard (Bandyta), Bang Boom Bang, Der grosse Bagarozy (The Devil and Ms. D.), Was Tun, Wenn?s Brennt (What To Do In Case of Fire), Les Daltons vs. Lucky Luke, Der Rote Baron (The Red Baron), Wo Ist Fred (Where Is Fred?), Phantomschmerz (Phantom Pain) และ M?nnerherzen และผลงานอื่นๆ อีกมาก ชไวเกอร์ยังแสดงในภาพยนตร์ของชาวอเมริกันอีกมากมาย ได้แก่ Already Dead, King Arthur, In Enemy Hands, Magicians, Tomb Raider: The Cradle of Life, Driven, SLC Punk, Investigating Sex, Joe and Max และ The Replacement Killers เมื่อไม่นานนี้เขายังนั่งแท่นเป็นผู้กำกับในภาพยนตร์คอมเมดี้ของแกร์รี่ มาร์แชลที่รวมเหล่านักแสดงเอาไว้ เรื่อง New Year’s Eve เชลซี แฮนด์เลอร์ (ทริช) มีเส้นทางในวงการบันเทิงที่น่าตื่นเต้นมากด้วยผลงานที่เคยเป็นทั้งผู้เขียนหนังสือที่ขายดีที่สุด พิธีกรรายการทอล์คโชว์ นักแสดงตลก นักแสดง และอื่นๆ อีกมาก เมื่อไม่นานนี้เธอได้รับการขนานนามให้เป็น Women of the Year แห่งปี 2011 จากหนังสือ Glamour Magazine เชลซีเป็นส่วนสำคัญในกระแสความนิยมเมื่อเธอสร้างเครือบริษัทสื่อหลากรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง ในเดือนมิถุนายน 2007 เชลซีได้ปรากฏตัวในโลกของรายการทอล์คโชว์ช่วงดึก E! Entertainment ที่ออกอากาศอย่างต่อเนื่องของเธอ ซึ่งล่าสุดเชลซีมีการออกอากาศทุกคืนวันปกติเวลา 5 ทุ่ม และเป็นรายการของทางสถานีที่มีเรทติ้งสูงสุดรายการหนึ่ง ทั้งแฮนด์เลอร์และรายการเป็นที่จดจำในฐานะของผู้บุกเบิกรายการกลางคืนที่ตอกย้ำว่ามีนักเขียนสตรีถึง 5 ท่าน ซึ่งถือว่าเป็นครึ่งหนึ่งของทีมงานผู้เขียนบทรายการที่ในอดีตพิธีกรและนักเขียนชายเป็นผู้ครอง ต่อจากความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของเชลซี แฮนด์เลอร์แนะนำให้ผู้ชมได้รู้จักกับภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ที่อิงจากตัวละครของเธอ เรื่อง After Lately ในช่วงฤดูใบไม้ผลิตที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเรทติ้งในระดับที่น่าพอใจและมีผู้ติดตามอย่างล้นหลามทันที ตอนนี้ภาพยนตร์เรื่อง After Lately เป็นช่วงฤดูกาลที่ 2 ซึ่งเป็นการติดตามชีวิตนอกวงการของเชลซี เลทลี่ นำแสดงโดย เชลซี, ชิว บราโว่ รวมถึงนักแสดงตลกและเหล่านักเขียนที่มาปรากฏเป็นประจำในรายการของเธอช่วงดึก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นรายการเรียลลิตี้ของจริง โดยแต่ละตอนจะสรุป (a la Curb Your Enthusiasm) และเป็นเรื่องราวที่แปลกแต่จริงทั้งหมดเอาไว้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องราว เหตุการณ์ และผู้คนที่อยู่วนเวียนในโลกของเชลซี เลทลี่ การแสดงเป็นที่น่าสนใจจากนักแสดงแถวหน้า เช่น รีซ วิเธอร์สพูน พร้อมกับเหล่าเซเลปทั้งหลายที่จะมาปรากฏตัวในฤดูกาลที่ 2 เชลซีทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกล้องในโปรเจ็กต์ทางทีวีอื่นๆ ตอนนี้เชลซีกำลังถ่ายทำซีรี่ส์เรื่องใหม่ของ NBC เรื่อง Are You There, Vodka? It’s Me, Chelsea โดยทั้งทำหน้าที่เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างบริหารและกลับมาเป็นนักแสดงรับเชิญ ซึ่งการแสดงอิงมาจากหนังสือขายดีของเธอเล่มที่ 2 นั่นเอง ลอว์ร่า พรีพอนผู้แสดงในซิตคอมยอดนิยม That 70’s Show มารับบทเป็น คุณแฮนด์เลอร์ คนเพี้ยนในเรื่องประหลาดๆ และชอบสร้างเสียงฮาได้อย่างไม่ปราณี ขณะที่เชลซีตัวจริงจะปรากฏตัวตลอดฤดูกาลในบทบาทของ โชชานน่า น้องสาวของเธอ เชลซีไม่ได้เป็นที่รักในครัวเรือนที่เป็นผู้ชมทางทีวีเท่านั้น แต่เธอยังเป็นผู้เขียนนิยายระดับแถวหน้าอีกด้วย หนังสือเล่มแรกของเธอที่ชื่อ My Horizontal Life: A Collection of One Night Stands ตีพิมพ์โดย Bloomsbury ออกวางจำหน่ายที่อเมริกาและอีกมากกว่า 20 ประเทศมียอดขายมากกว่า 1 ล้านก๊อปปี้ หนังสือเล่มที่สองของเธอมีชื่อว่า Are You There, Vodka? It’s Me, Chelsea ตีพิมพ์โดย Simon Spotlight ครั้งแรกเป็นอันดับ 1 ของ New York Times Best Sellers ในปี 2008 ตามมาด้วย Chelsea Chelsea Bang Bang ตีพิมพ์โดย Grand Central Publishing ในปี 2010 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2010 หนังสือเล่มที่สามของเชลซีครองอันดับ 1, 2 และ 3 ของ New York Times’ Best Seller พร้อมกัน Grand Central Publishing ได้ทำการเซ็นสัญญากับเชลซีสำหรับงานพิมพ์ของเธอ Borderline Amazing/A Chelsea Handler Book ตอนนี้เชลซีเซ็นสัญญาที่จะเขียนหนังสือเพื่อลงตีพิมพ์จำนวน 3 หนังสือชื่อเรื่องว่า Lies Chelsea Told Me เปิดตัวครั้งแรกที่อันดับ 1 อีกครั้งของ New York Times Bestsellers List ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 กำลังอยู่ในขั้นเตรียมการ ซึ่งจะถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของ ชัค สุนัขที่น่ารักของเชลซี และหนังสือเล่มที่ 3 ยังไม่มีกำหนดในช่วงนี้ เชลซีได้ร่วมงานกับ Live Nation เพื่อจัดทัวร์แสดงตลกที่ชื่อ Chelsea Chelsea Bang Bang ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Belvedere Vodka ผู้ชมต้องการชมการแสดงและบัตรจำนวนมากถูกขายจนหมด โดยทาง Live Nation ได้ขยายทัวร์ออกไปเป็น 3 ครั้งตั้งแต่มีการแสดง เชลซีต้องขึ้นแสดง 79 ครั้งใน 53 แห่งทั่วอเมริกาและในแคนาดา ทัวร์ Chelsea Chelsea Bang Bang มียอดขายบัตรรวมทั้งหมดมากกว่า 250,000 ใบและเป็นทัวร์ที่กวาดรายได้ไปสูงสุดในปี 2010 ในเดือนพฤษภาคมเชลซีได้ร่วมงานกับ Live Nation และ Belvedere อีกครั้งเพื่อจัดทัวร์ Lies Chelsea Handler Told Me ซึ่งอิงจากหนังสือเล่มล่าสุดของเธอ โดยในครั้งนี้แฮนด์เลอร์ร่วมออกทัวร์กับเพื่อนนักแสดงตลก แบรด วอลแล็ค, ฮีตเธอร์ แม็คโดนัลด์ และ จอช วูลฟ์ที่ขัดแย้งกัน ทัวร์ The Lies มีการจัดจำหน่ายให้ผู้คนทั่วประเทศใน 20 ตลาดต้นๆ ของอเมริกา ในปี 2011 เชลซีได้แสดงภาพยนตร์ในบทบาทที่มีโดดเด่นครั้งแรกในภาพยตร์ของ Universal Pictures เรื่อง Hop เธอได้ร่วมงานกับรัสเซล แบรนด์ และ เจมส์ มาร์สเด็น ในปี 2012 เธอแสดงภาพยนตร์ของสตูดิโอ 2 เรื่อง ได้แก่ THIS MEANS WAR และภาพยนตร์คอมเมดี้ของ Paramount Picture เรื่อง Fun Size เชลซีเริ่มอาชีพการแสดงด้วยการแสดงในเรื่อง Oxygen’s Girls Behaving Badly (ตอนนี้มีการออกอากาศมากกว่า 90 รัฐ) ตลอด 4 ฤดูกาล และเธอยังแสดงในเรื่อง E! in The Chelsea Handler Show ในปี 2007 และ 2008 เชลซีแสดงผลงานร่วมกับเจนนี่ แม็คคาร์ธี่ และ ลีอาห์ เรมินี่ ในซีรี่ส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทางเว็บออนไลน์ MSN เรื่อง In The Motherhood เกี่ยวกับผู้สร้างภาพยนตร์ แม็คจี (ผู้กำกับ) มีผลงานการกำกับแรก เรื่อง Charlie’s Angels ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันว่าเป็นหนังเปิดตัวได้ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้กำกับมือใหม่ ภาพยนตร์ขึ้นเป็นอันดั 1 จากการฉายครั้งแรกที่สหรัฐฯ พร้อมกวาดรายได้บ็อกซ์ ออฟฟิศไปมากกว่า 40 ล้านเหรียญ โดยเปิดตัวเป็นอันดับ 1 ใน 31 ประเทศทั่วโลกและกวาดรายได้รวมไปมากกว่า 250 ล้านเหรียญ แม็คจียังเป็นผู้กำกับภาคต่อ Charlie's Angels: Full Throttle ซึ่งต่อมากวาดรายได้รวมไป 265 ล้านเหรียญ หลังจากการทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศ แม็คจีได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ Wonderland Sound and Vision ขึ้นมา บริษัทมีผลงานภาพยนตร์และทางทีวีร่วมกับ Warner Bros. เขาอำนวยการสร้างภาพยนตร์และการแสดงทางทีวีที่ประสบกความสำเร็จมาแล้วมากมายภายใต้ชื่อ _Wonderland ได้แก่ The O.C and Human Target ของ FOX Supernatural and Pussycat Dolls Present: The Search for the Next Doll ของ CW และ Chuck ของ NBC สำหรับความถนัดด้านภาพยนตร์แม็คจีได้ผลิตภาพยนตร์ระทึกขวัญ เรื่อง Stay Alive ให้กับ Walt Disney Company ซึ่งกวาดรายได้ไปมากกว่า 25 ล้านเหรียญ ในปี 2005 แม็คจีและสตีเฟ่น สปีลเบิร์กได้ร่วมงานกันเพื่อสร้างภาพยนตร์เพลงชุดพิเศษ เรื่อง The Dan Finnerty Show ที่ออกอากาศทาง Bravo ในปี 2006 แม็คจีได้ขยายเอกลักษณ์ที่มีความสร้างสรรค์ด้วยการกำกับภาพยนตร์แนวดราม่า เรื่อง We Are Marshall นำแสดงโดย แมทธิว แม็คคอนอฮีย์ และ เดวิด สตราเธิร์น ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าสลดอันทรงอิทธิพลของทีมฟุตบอล Marshall University ที่มีโคชคนใหม่เป็นแกนนำ เขาพบวิธีจัดวางทีมและท้ายที่สุดก็คว้าชัยหลังจากเหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนที่คร่าชีวิตผู้คนไปเกือบทั้งทีม Warner Bros ฉายเรื่อง We Are Marshall วันที่ 22 ธันวาคม 2006 ด้วยความภาคภูมิใจ ในปี 2009 แม็คจีกำกับเรื่อง Terminator: Salvation นำแสดงโดยคริสเตียน เบล และ แซม เวอร์ธิงตัน ในภาพยนตร์แม็คจีได้แนะนำให้แฟนๆ ได้รู้จักกับสงครามทั้งสมัยก่อนและสมัยใหม่ที่เป็นการต่อสู้กันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรหลังวันพิพากษาโลก ภาพยนตร์จัดจำหน่ายที่สหรัฐฯ โดย Warner Bros และทั่วประเทศโดย Sony ภาพยนตร์กวาดรายได้ทั่วโลกไป 372 ล้านเหรียญ Wonderland Sound and Vision ประสบความสำเร็จภายใต้การควบคุมของแม็คจี เพียงช่วงเวลาไม่นาน Wonderland ได้พัฒนาขึ้นจากบริษัทผลิตภาพยนตร์ธรรมดากลายเป็นองค์กรด้านสื่อที่หลากรูปแบบ ซึ่งมีแนวโน้มหนักไปทางด้านการผลิตและจัดจำหน่าย ตั้งแต่การนำแฟรนไชส์มูลค่านับพันล้านมาสร้างใหม่ไปจนถึงการผลิต digital shows ทางอินเตอร์เน็ต Wonderland จะเป็นผู้นำด้านการจัดหาภาพยนตร์ ผลงานทางทีวี ดนตรีและสื่อกลางรูปแบบใหม่ในฐานะของอุตสาหกรรมความบันเทิงที่ก้าวสู่ยุคใหม่ แม็คจีเริ่มอาชีพการเป็นผู้กำกับด้วยแคมเปญที่มีความโด่งดังอย่างยิ่งใหญ่ให้กับ The Gap และ Coca Cola เขายังกำกับมิวสิควีดีโออีกมากกว่า 50 เพลงให้กับศิลปินต่างๆ เช่น Sublime และ Wyclef Jean มิวสิควีดีโอเหล่านี้มีส่วนทำให้มียอดขายทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านอัลบั้ม Wonderland ยังปล่อยซาวด์แทร็ค Music from The O.C. ที่มียอดขายมากกว่า 1 ล้านก็อปปี้อีกด้วย แม็คจีเกิดที่คาลามาซู รัฐมิชิแกน เขาโตขึ้นที่ Newport Beach รัฐแคลิฟอร์เนีย ทิโมธี่ ดาวลิง (เรื่องราว, บทภาพยนตร์) ได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 10 ผู้เขียนบทภาพยนตร์ที่น่าจับตามองแห่งปี 2010 จาก Variety เขาเป็นผู้เขียนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในหนังคอมเมดี้ เช่น Just Go With It นำแสดงโดย อดัม แซนด์เลอร์ และ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน และเรื่อง Role Models นำแสดงโดย พอล รัดด์ และ ฌอน วิลเลียม สก็อตต์ ตอนนี้ทิมกำลังเขียนบทรีเมคเรื่อง Uptown Saturday Night ให้กับ Warner Bros. และ Overbrook Entertainment ของวิล สมิธ และ Office Christmas Party ให้กับ DreamWorks โดยมีวิล สเป็ค และ จอช กอร์ดอนมานั่งแท่นผู้กำกับ ดาวลิ่งยังพัฒนาผลงานทางทีวีตอนแรกของเรื่อง Guidance ให้กับ FOX โดยมีไรอัน เรย์โนล์ดส และ อัลลาน เลียบ เป็นผู้อำนวยการสร้าง ไซมอน คินเบิร์ก (บทภาพยนตร์, ผู้อำนวยการสร้าง) สำเร็จการศึกษาจาก Brown University, Phi Beta Kappa, Magna Cum Laude เขาได้รับปริญญาโทด้านศิลปะจาก Columbia University Film School ที่เขาคว้ารางวัลด้านบทภาพยนตร์ระดับสูงสุดของโรงเรียนอย่าง Zaki Gordon Fellowship ขณะศึกษาอยู่ที่โรงเรียน เขาได้ขายบทภาพยนตร์ต้นฉบับให้กับ Warner Brothers และต่อมาได้เขียนบทภาพยนตร์ให้ Disney, Sony และ Dreamworks เขาได้ทำงานร่วมกับสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก, โจนาธาน มอสทาว, สตีเฟ่น ซอมเมอร์ส และแม็คจี โปรเจ็กต์วิทยานิพนธ์ชิ้นสุดท้ายของเขาที่โรงเรียนเป็นบทภาพยนตร์ต้นฉบับเรื่อง Mr. and Mrs. Smith กำกับโดย ดั๊ก ไลแมน มีการฉายในปี 2005 นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และ แองเจลิน่า โจลี่ ต่อมาภาพยนตร์เป็น 1 ใน 100 เรื่องที่ประสบความสำเร็จตลอดกาล ภาพยนตร์ได้รับรางวัล MTV Movie Award? และ People’s Choice Awards อีกมากมาย ในปี 2005 คินเบิร์กได้รับการแต่งตั้งจาก Premiere Magazine ให้เป็น New Power Screenwriter of the Year และได้รับรางวัล Breakthrough Award สำหรับการเขียนบทภาพยนตร์จาก Movieline Magazine ในปี 2006 เขาได้ร่วมเขียนบทเรื่อง X-Men: The Last Stand ที่มีการเปิดตัวทำลายบ็อกซ์ ออฟฟิศในวัน Memorial Day และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในแฟรนไชส์ ในปี 2008 คินเบิร์กเขียนและสร้างภาพยนตร์ให้ดั๊ก ไลแมน เรื่อง Jumper ของ Regency และ 20th Century Fox ในปี 2009 เขาเขียนภาพยนตร์เรื่อง Sherlock Holmes นำแสดงโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ และ จู้ด ลอว์ กำกับโดย กาย ริตชี่ ภาพยนตร์สร้างสถิติให้บ็อกซ์ออฟฟิศในวันเปิดตัวช่วงคริสต์มาสอย่างยิ่งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์ได้รับรางวัล Golden Globe สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award อีก 2 รางวัล คินเบิร์กร่วมเขียนบทภาพยนตร์ต้นฉบับให้ เจ.เจ. อับรัมส์ แห่ง Paramount นอกจากนั้นเขายังสร้างเรื่อง X-Men: First Class กำกับโดย แมทธิว วอนห์, ภาพยนตร์ของนีล บลอมแคมป์ เรื่อง Elysium รวมถึงเรื่อง Cinderella รูปแบบใหม่ของ Disney สำหรับผลงานทางทีวี คินเบิร์กมีสัญญากับเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์และ Warner Bros. Television โดยบริษัทผลิตภาพยนตร์ของเขา Genre Films มีสัญญาในการเห็นบทภาพยนตร์เป็นเจ้าแรกร่วมกับ 20th Century Fox มาร์คัส กอเทเซน (เนื้อเรื่อง) เกิดที่นิวแฮมป์เชียร์ เข้าศึกษาที่ Putney School ใน Vermont และได้รับปริญญาตรีด้านการแสดงจาก Marlboro College ภาพยนตร์เรื่อง THIS MEANS WAR เกิดขึ้นระหว่างที่มาร์คัสอยู่กับเพื่อนซี้ของเขาในอพาร์ทเมนท์ 2 ห้องนอนที่ Little Italy ในเมืองนิวยอร์ค ทั้งคู่ยังไม่มีงานทำเลยตัดสินใจย้ายมาอยู่ห้องนอนเดียวกันและปล่อยอีกห้องนึงให้เช่า แล้วก็มีสาวสวยชาวฝรั่งเศสมาเช่าห้องนั้นไป มิตรภาพของพวกเขากลับตัลปัตรอย่างทันที พวกเขาซุ่มโจมตีกันเพื่อพิชิตใจเธอให้ได้เหมือนกลายเป็นสงคราม มาร์คัสอาศัยอยู่ที่บาร์เซโลน่ากับภรรยาและลูกอีก 2 คน ตอนนี้เขากำลังเขียนบทภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องใหม่อยู่ โรเบิร์ต ไซมอนด์ส (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้างคนหนึ่งแห่งฮอลลีวูดที่มีผลงานแนวคอมเมดี้และแนวครอบครัวออกมามากที่สุด ภาพยนตร์กว่า 30 เรื่องของเขากวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 3.5 พันล้านเหรียญ เจมส์ แลสซิเทอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้รวมพลังกับผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการบันเทิงอย่างวิล สมิธเมื่อปี 1998 เพื่อสร้างบริษัทผลิตและควบคุมภาพยนตร์ Overbrook Entertainment โดยตั้งชื่อตามโรงเรียนไฮสคูลในฟิลาเดเฟียที่พวกเขาเคยเรียน แลสซิเทอร์เริ่มเส้นทางอาชีพในวงการดนตรี เขาเป็นผู้ควบคุมภาพยนตร์ของ Overbrook และโปรเจ็กต์ทางทีวีตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการผลิต และประสบความสำเร็จในด้านการควบคุมมุมมองด้านสากลเพื่อบรรจุเข้าไปในทุกโครงการ ตอนนี้แลสซิเทอร์กำลังมีผลงานในเรื่อง 1000 A.E. กำกับโดย เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน นำแสดงโดย จาเด็น สมิธ มีกำหนดฉาย 7 มิถุนายน 2013 เขาร่วมผลิตภาพยนตร์รีเมคเรื่อง Annie นำแสดงโดย วิลโลว์ สมิธ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ Overbrook ที่ร่วมงานกับ Jay Z’s Roc Nation สำหรับผลงานทางทีวีแลสซิเทอร์และ Overbrook ได้ร่วมงานกับ Sony Pictures Television ในการผลิตทอล์คโชว์ช่วงกลางวันของควีน ลาติฟาห์ มีกำหนดออกอากาศในปี 2013 แลสซิเทอร์ยังถูกวางให้เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารในภาพยนตร์ เรื่อง Untitled Romeo Project ที่กำลังจะเข้าฉายร่วมกับ ABC studios อีกด้วย. ผลงานที่ประสบความสำเร็จของแลสซิเทอร์ที่ผ่านมา ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดนิยมแห่งปี 2010 เรื่อง Karate Kid นำแสดงโดย จาเด็น สมิธ และ แจ็คกี้ ชาน ภาพยนตร์กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 340 ล้านเหรียญ; ภาพยนตร์เรื่องดังแห่งปี 2008 เรื่อง Hancock นำแสดงโดย วิล สมิธ และ ชาร์ลีซ ธีรอน กวาดรายได้ทั่วโลกไป 624 ล้านเหรียญ; ภาพยนตร์ที่ทำลายบ็อกซ์ ออฟฟิศในปี 2007 เรื่อง I Am Legend กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 580 ล้านเหรียญ และภาพยนตร์ยอดนิยมแห่งปี 2006 เรื่อง The Pursuit of Happyness ที่ดังกึกก้องอยู่ในใจผู้ชมทั่วโลก ทำให้สมิธได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar สำหรับการแสดงของเขา ภาพยนตร์กวาดรายได้ให้บ็อกซ์ ออฟฟิศไปมากกว่า 300 ล้านเหรียญ แลสซิเทอร์อำนวยการสร้างภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เรื่อง Hitch ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ฮิตทั่วโลกกวาดรายได้ไปมากกว่า 360 ล้านเหรียญ รวมถึงภาพยนตร์ที่คว้ารางวัล เรื่อง Saving Face นำแสดงโดย Joan Chen ในปี 2001 แลสซิเทอร์เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ เรื่อง Ali ทำให้สมิธได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award เป็นครั้งแรก โปรเจ็กต์อื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของ Screen Gems เรื่อง Lakeview Terrace (2008) นำแสดงโดย ซามูเอล แอล. แจ็คสัน และ เคอร์รี่ วอชิงตัน; ภาพยนตร์ของ Fox Searchlight เรื่อง The Secret Life of Bees (2008) นำแสดงโดย ดาโกต้า แฟนนิ่ง และ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน และภาพยนตร์ของ Sony เรื่อง Seven Pounds (2008) ที่เป็นการกลับมาร่วมงานกันระหว่างสมิธกับผู้กำกับแกเบรียล มัคชิโน่ และทีมอำนวยการสร้างทั้งหมดจากภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness นอกจากนั้นแลสซิเทอร์ยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างในเรื่อง ATL (2006) นำแสดงโดยศิลปิน platinum recording อย่าง T.I. และในภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวไซ-ไฟ เรื่อง I, Robot (2004) เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารในภาพยนตร์เรื่อง All of Us ที่มีการออกอากาศทางสถานี CW ตั้งแต่ปี 2003-2007 ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงยังรวมถึงการทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารในซาวด์แทร็คของ เรื่อง Wild, Wild West และ Men In Black ซึ่งทั้งสองผลงานนั้นได้คว้ารางวัล American Music Award สาขาซาวด์แทร็คยอดนิยม เขาได้รับรางวัล Outer Critic’s Circle Award เมื่อปี 2001 สำหรับการแสดง off-Broadway เรื่อง Jitney ที่เขียนขึ้นโดยออกัสต์ วิลสัน วิล สมิธ (ผู้อำนวยการสร้าง) ผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award ถึง 2 ครั้ง เขามีความสุขกับความสำเร็จอย่างไม่คาดฝันในวงการภาพยนตร์ ผลงานทางทีวีและ multi-platinum records การแสดงของเขาที่ตราตรึงใจจากบทบาทของ มูฮัมหมัด อาลี ในภาพยนตร์ของไมเคิล แมนน์ เรื่อง Ali ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award เป็นครั้งแรก ตามมาด้วยการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเป็นครั้งที่ 2 จากภาพยนตร์แนวดราม่าชีวิตจริง เรื่อง The Pursuit of Happyness รายชื่อภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่างไม่ธรรมดาของสมิธยังรวมถึงภาพยนตร์เมื่อไม่นานนี้อย่าง I Am Legend และ Hancock เขายังสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมด้วยภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เรื่อง I Robot, Independence Day, Men in Black และ Men in Black II สมิธไม่จำกัดการทำงานแค่ด้านการแสดงเท่านั้น แต่ยังร่วมงานกับเจมส์ แลสซิเทอร์แห่ง Overbrook Entertainment เพื่อผลิตภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ อีก เช่น Hitch, The Pursuit of Happyness, The Secret Life of Bees, Seven Pounds, Lakeview Terrace และ The Human Contract ซึ่งถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่จาดา พิงเค็ตต์ สมิธ ทำการกำกับ วิล สมิธ มีชื่อเสียงในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ของ Columbia Pictures เรื่อง Karate Kit ที่มีการฉายเมื่อ 11 มิถุนายน 2010 ก่อนหน้านี้สมิธเคยสร้างภาพยนตร์ของ Columbia Pictures เรื่อง Men in Black 3 กำกับโดย แบร์รี่ ซอนเน็นเฟลด์ ภาพยนตร์มีกำหนดฉาย 25 พฤษภาคม 2012 และต่อไปสมิธจะแสดงและอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง 1000 A.E. นำแสดงโดยจาเด็น สมิธ กำกับโดย เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน สมิธได้รับการยกย่องใน 4 สาขาเรื่องที่งาน World Music Awards ครั้งที่ 11 ที่ Monte Carlo และได้รับรางวัล NAACP Image Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม สำหรับการแสดงของเขาในเรื่อง Seven Pounds ในปี 2009 สมิธยังได้รับรางวัล Kids’ Choice Award อีกหลายรางวัลสำหรับภาพยนตร์แนวอินดี้ของเขาอย่างเรื่อง Day, Wild Wild West, Shark Tale, Hitch และ Hancock สมิธได้รับ Grammy Award ครั้งแรกในสาขา for Best Rap Performance เมื่อปี 1989 สำหรับเรื่อง “Parents Just Don’t Understand” และกวาดรางวัล Grammy ไปอีก 3 รางวัลสำหรับ “Summertime,” “Men In Black” และ “Getting Jiggy Wit It” สมิธทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเมตตาที่มีความมุ่งมั่นของเขา ซึ่งเรื่องที่สำคัญสุดของสมิธคือการศึกษาและการดูแลเด็กๆ โดยสมิธได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนทั่วประเทศในหลากหลายรูปแบบมาเป็นเวลานาน สมิธมุ่งความตั้งใจไปที่การสร้างความแตกต่างด้วย Will and Jada Smith Family Foundation สมิธและภรรยาของเขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 โดยปีที่แล้วสมิธได้ก่อตั้ง New Village Leadership Academy ที่ Calabasas ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีหลายหลักสูตรและมีการพัฒนาโดยไม่แสวงหากำไร ในการดำเนินงานของ Family Foundation สมิธยังเป็นส่วนหนึ่งของ Kanimambo Foundation องค์กรไม่แสวงหากำไรที่จัดเตรียมหลักสูตรที่มีการปรับปรุงใหม่ใน Mozambique เพื่อพัฒนาสถานภาพด้านการศึกษา มีความใส่ใจเด็กกำพร้าและเด็กติดเชื้อ HIV/AIDS ให้มีการศึกษาและได้รับการช่วยเหลือด้านยารักษา ในผลงานต่างๆ ของสมิธที่เขาประสบความสำเร็จมามากมาย เขายังได้รับเกียรติจาก Museum of the Moving Image ในปี 2006 และได้รับรางวัล Simon Wiesenthal Humanitarian Award ในปี 2009 เขาได้รับรางวัล Simon Wiesenthal อันทรงเกียรติจาก “ความรับผิดชอบด้านการศึกษา ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม” สมิธทำหน้าที่เป็นตัวแทนมูลนิธิของเนลสัน แมนเดล่าที่ชื่อว่า 46664 Foundation คำตอบของชาวแอฟริกันต่อการลุกลามของ HIV/AIDS ที่ลามไปทั่วโลก ในปี 2008 สมิธได้กลายเป็น National Board Member for Malaria No More มูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์เรียบง่ายด้านการยุติการเสียชีวิตจากไข้มาลาเรียทั่วโลก สมิธปฏิบัติหน้าที่ในแคมเปญของ Make a Wish มาอย่างยาวนาน โดยการประทานพรและสนับสนุนมูลนิธิเพื่อการใช้ชีวิตของเด็กๆ ที่ถูกโรคภัยไข้เจ็บคุกคามให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นเวลานานกว่า 10 ปีครึ่ง ไมเคิล กรีน (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นผู้อำนวยการสร้าง Big Momma’s House, Big Momma’s House 2 และ Big Momma: Like Father, Like Son เขาทำการควบคุมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ระดับฮอลลีวูดด้วยตัวเอง เช่น Roseanne Barr, The Backstreet Boys, Martin Lawrence, Enrique Iglesias, Ice Cube, Michael Jackson และ Limp Bizkit กรีนเริ่มอาชีพของเขาที่บริษัทด้านการบริหารจัดการ Irvin Arthur Associates ที่เขาได้กลายเป็นผู้ควบคุมและหุ้นส่วน จากนั้นเขาได้ร่วมงานที่ Gallin-Morey & Associates โดยเขาได้ควบคุมและพัฒนาโปรเจ็กต์ของศิลปินชื่อดังหลายคนที่เขายังคงร่วมงานด้วยมาถึงปัจจุบัน ในปี 1997 กรีนร่วมก่อตั้ง The Firm ซึ่งเป็นผู้นำในวงการบันเทิงและผู้บริหารแบรนด์ ในปี 2001 หลังจากที่ The Firm ทำรายได้ทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ กรีนมอบความเอาใจใส่ของเขาให้กับบริษัทแต่ยังคงมีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงต่างๆ อยู่ กรีนได้อำนวยการสร้างหรืออำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์และผลงานทางทีวีมาแล้วมากกว่า 20 เรื่อง รวมถึงภาพยนตร์คอมเมดี้ของมาร์ติน ลอว์เรนซ์อีก 2 เรื่อง ได้แก่ Black Knight และ National Security เจฟฟรีย์ อีแวน ควาทิเนตซ์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นผู้สำคัญในการสร้างความมั่นคงให้ Prospect Park ที่ได้ขายโปรเจ็กต์ซีรี่ส์ไปแล้ว 18 เรื่องให้กับสถานีโทรทัศน์และเคเบิลต่างๆ รวมถึง USA, Fox และ ABC Family โปรเจ็กต์ทั้งหมดอำนวยการสร้างโดย Universal Cable Prods. ซึ่งเป็นการต่ออายุความสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้วของทั้ง 2 บริษัทโดยการเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างให้ซีรี่ส์ยอดฮิตของ USA เรื่อง Royal Pains ผลงานที่มีชื่อเสียงของควาทิเนตซ์ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ได้แก่ Unstoppable, Big Momma’s House, National Security และ Black Knight เบรนต์ โอ’คอนนอร์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับ The X-Files: I Want to Believe, Get Smart, Cats & Dogs: The Revenge of Kitty Galore, Bulletproof Monk, Scooby Doo 2, We Are Marshall, Firewall และ Elektra เขาได้ร่วมอำนวยการสร้างในผลงานที่เลื่องชื่ออย่าง K-19: The Widowmaker ด้วย อาชีพการงานของโอ’คอนนอร์ช่วงแรก เขาทำหน้าที่เป็นตัวแทนธุรกิจของ IATSE เขาเป็นผู้ควบคุมด้านการผลิตภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ได้แก่ ภาพยนตร์ระทึกขวัญของอาร์โนลด์ ชวาสเนกเกอร์ เรื่อง The Sixth Day; ภาพยนตร์ระคอมเมดี้ที่มีความสนุกสนาน เรื่อง Rat Race นำแสดงโดย คิวบา กูดดิ้ง จูเนียร์, วูปี โกลด์เบิร์ก, จอห์น คลีส และ โรแวน แอตคินสัน; ภาพยนตร์ของกัส แวน แซงต์ที่คว้ารางวัล เรื่อง Good Will Hunting นำแสดงโดย แม็ตต์ เดม่อน, โรบิน วิลเลียมส์ และ เบ็น เอ็ฟเฟล็ค และ Seven Years in Tibet ที่ได้ร่วมงานกับแบรด พิตต์ ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงในฐานะของผู้ควบคุมการผลิต ได้แก่ Eye See You, Jumanji, Deep Rising, Disturbing Behavior และ Andre รัสเซล คาร์เพนเตอร์, ASC (ผู้กำกับภาพ) ได้กลับมาร่วมงานกับแม็คจีอีกครั้ง และได้ถ่ายทำภาพยนตร์แอ็คชั่น เรื่อง Charlie’s Angels และ Charlie’s Angels: Full Throttle เขาได้รับรางวัล Academy Award สาขาการถ่ายภาพยอดเยี่ยม สำหรับภาพที่มีความงดงามในเรื่อง Titanic ภาพยนตร์โรแมนติกแนวดราม่าที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ กำกับโดย เจมส์ คาเมรอน เขายังได้ร่วมงานกับคาเมรอนอีกในเรื่อง T2 - 3D: Battle Across Time และ True Lies เมื่อไม่นานนี้เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ นิคกี้ แคสเซล ในภาพยนตร์เรื่อง A Little Bit of Heaven นำแสดงโดย เคท ฮัดสัน และ เกล การ์เซีย เบอร์นัล เขายังถ่ายภาพให้ภาพยนตร์คอมเมดี้ เรื่อง Shallow Hal ผลงานของบ็อบบี้และปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่ นำแสดงโดย กวินเน็ธ พัลโธรว์ และ แจ็ค แบล็ค รวมถึงภาพยนตร์แนวดราม่าระทึกขวัญ เรื่อง The Negotiator ที่ได้ร่วมงานกับซามูเอล แอล. แจ็คสัน และ เควิน สเปซีย์ ผลงานการกำกับของ เอฟ. แกรี่ เกรย์ ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของคาร์เพนเตอร์ ได้แก่ Awake, Noel, Monster in Law, Killers, Money Talks, Indian in the Cupboard, Hard Target, Attack of the 50-Foot Woman, Pet Semetary II, Lawnmower Man, Perfect Weapon, Death Warrant, Solar Crisis และ Lady in White คาร์เพนเตอร์ยังถ่ายแคมเปญโฆษณาให้กับบริษัทที่ถูกบันทึกไว้ในนิตยสาร Fortune 500 ระหว่างการทำงานด้านภาพยนตร์ของเขา มาร์ติน เลจ (ผู้ออกแบบฉาก) ได้ทำงานในแผนกศิลป์ของการผลิตภาพยนตร์มาแล้ว 26 ปี เขาใช้เวลาช่วง 8 ปีแรกในการทำงานที่อังกฤษ และย้ายมาที่ลอส แองเจลิสในปี 1993 เลจได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ออกแบบฉากเมื่อปี 2002 เขาออกแบบให้เรื่อง Avatar, Battle Angel และ Ghosts of the Abyss (ภาพยนตร์สารคดี) ของผู้กำกับเจมส์ คาเมรอน และ The City of Ember ของผู้กำกับกิล คีแนน ก่อนที่จะมาร่วมงานกับแม็คจีเพื่อออกแบบให้กับเรื่อง Terminator: Salvation ในปี 2009 เขากลับไปที่อังกฤษเพื่อออกแบบให้กับเรื่อง Clash of the Titans ของผู้กำกับ หลุยส์ เลเทอร์เรียร์ ในฐานะของผู้กำกับศิลป์ เลจได้ร่วมงานกับเจมส์ คาเมรอน, สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก, ไมเคิล เบย์, ทิม เบอร์ตัน, กอร์ เวอร์บินสกี, นีล จอร์แดน และ ชอง เดอ บองต์ เขาเป็นลูกชายของผู้ออกแบบฉากเจ้าของรางวัล Academy อย่างโรเบิร์ต ดับบลิว. เลจ โดยมาร์ตินได้ก้าวเดินตามรอยเท้าพ่อของเขาคว้ารางวัล Excellence in Art Direction สำหรับผลงานของเจมส์ คาเมรอน ที่คว้ารางวัล Academy Award เรื่อง Titanic ในปี 2009 เลจได้รับรางวัล Hamilton Behind the Camera สำหรับผลงานของเขาในเรื่อง City of Ember ผลงานอื่นของเลจที่มีชื่อเสียงในแผนกศิลป์ ได้แก่ Pearl Harbor, True Lies, Batman, Minority Report, In Dreams, Catch Me If You Can, The Haunting, Never Ending Story II และ In Dreams นิโคลาส เดอ ท็อธ (ผู้ลำดับภาพ) เป็นลูกชายของผู้กำกับอังเดร เดอ ท็อธ เขาเกิดที่โรมและโตในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นที่ 2 หลังสำเร็จการศึกษาด้านการแสดง 6 ปี เดอ ท็อธได้ทำงานด้านการผลิตและตำแหน่งต่างๆ ตั้งแต่หัวหน้าคนงานจนก้าวกระโดดไปถึงผู้ควบคุมการผลิต ประสบการณ์ด้านการผลิตของเขาที่มีความครอบคลุมมีความหมายต่ออาชีพการลำดับภาพของเดอ ท็อธเป็นอย่างมาก ผลงานของเขามีความหลากหลายตั้งแต่ภาพยนตร์ระทึกขวัญและภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Along Came A Spider, The Sum Of All Fears, Underworld Evolution และ Hitman ไปจนถึงภาพยนตร์ยอดนิยมอย่าง Terminator 3: Rise of The Machines, Live Free or Die Hard และ X Men Origins: Wolverine โซฟี่ เดอ ราคอฟ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เกิดและโตที่ใจกลางลอนดอน เธอย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์คในปี 1990 ซึ่งเธอต้องแบ่งเวลาระหว่างการทำงานที่ Paper Magazine กับไนท์คลับของนีล เธอย้ายมาที่แอลเอในช่วงปี 1993 ซึ่งเธอยังทำงานให้ Paper ต่อไปในฐานะของผู้เขียนบทความ และยังส่งเรื่องเขียนให้สำนักพิมพ์อีกหลายแห่งทำการตีพิมพ์ เช่น British Vogue, Dazed and Confused, Detour, Details และ Vibe ช่วงกลางปี 90 เดอ ราคอฟประสบความสำเร็จในโลกของมิวสิควีดีโอด้วยการเป็นแฟชั่นดีไซน์เนอร์ ในปี 1999 เธอได้ออกแบบให้ภาพยนตร์เรื่อง Speed of Life เป็นเรื่องแรก ตามมาด้วย Legally Blonde ที่ทำให้ได้ร่วมงานกับรีซ วิเธอร์สพูนต่อมา ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่ได้ร่วมงานกับวิเธอร์สพูน ได้แก่ Four Christmases, Legally Blonde 2 และ Sweet Home Alabama ผลงานเรื่องอื่นของเธอที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Shall We Dance, In Her Shoes และ Fever Pitch เดอ ราคอฟได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล 2 ครั้งจาก Costume Designers Guild สำหรับฝีมือที่ยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ร่วมสมัย และในปี 2005 เธอได้รับเกียรติจาก Premiere Magazine และ AMC ให้เป็น 1 ในสตรีที่ได้รับรางวัลจากฮอลลีวูด ผลงานของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Legally Blonde เป็นที่โดดเด่นในหนังสือ Dressed: A Century of Hollywood Costume Design ที่เขียนโดยเดโบราห์ นาดูลแมน แลนดิส ผลงานการออกแบบของเดอ ราคอฟให้กับเรื่อง Legally Blonde 2 มีส่วนร่วมในการจัดแสดงที่งาน Academy of Motion Picture Arts and Science’s exhibition, 50 Designers, 50 Costumes ซึ่งมีการจัดแสดงไปทั่วโลก คริสโตเฟอร์ เบ็ค (ดนตรี) เมื่อไม่นานนี้เขาประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่อง Tower Heist และภาพยนตร์ยอดนิยมของผู้ชมและเหล่านักวิจารณ์ เรื่อง The Muppets ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขารวมถึงในเรื่อง Crazy, Stupid Love และ The Hangover ภาค 2 (ซึ่งเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 4 ของเขากับผู้กำกับทอดด์ ฟิลลิปส์; ภาพยนตร์เรื่องอื่น ได้แก่ The Hangover, Due Date และ School for Scoundrels) เบ็คยังประพันธ์ดนตรีให้กับภาพยนตร์คอมเมดี้ที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ เรื่อง Cedar Rapids ภาพยนตร์เพลง เรื่อง Burlesque ภาพยนตร์แอ็คชั่น เรื่อง Red ภาพยนตร์ของนีล ลาบิวต์ เรื่อง Death at a Funeral ภาพยนตร์คอมเมดี้ที่ได้รับความนิยมอย่างไม่คาดฝัน เรื่อง Hot Tub Time Machine ภาพยนตร์ผจญภัยแฟนตาซีของคริส โคลัมบัส เรื่อง Percy Jackson & The Olympians: The Lightning Thief และภาพยนตร์สารคดีที่คว้ารางวัล เรื่อง Waiting for Superman นอกจากนั้นเบ็คยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ชอว์น เลวี่ ในภาพยนตร์หลายเรื่อง ได้แก่ Date Night, ภาพยนตร์รีเมคเรื่อง The Pink Panther และ Cheaper by the Dozen, Just Married, Big Fat Liar และ What Happens in Vegas ที่เลวี่อำนวยการสร้าง ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเบ็คหลายเรื่องยังรวมถึง All About Steve, Fred Claus, Year of the Dog, We Are Marshall, The Sentinel, Phoebe in Wonderland, Under the Tuscan Sun, Saved! และ Bring It On ซึ่งนี่เป็นการกล่าวมาเพียงบางส่วน สำหรับผลงานทางทีวี เบ็คได้รับรางวัล Emmy สาขาการประพันธ์ดนตรีที่มีความโดดเด่น สำหรับผลงานของเขาในซีรี่ส์ยอดนิยม เรื่อง Buffy the Vampire Slayer เขาเริ่มอาชีพนักประพันธ์ดนตรีจากซีรี่ส์ทางทีวีของชาวแคนาดา เรื่อง White Fang

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ