กรุงเทพฯ--26 เม.ย.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
บทความพิเศษโดยฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)
เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจัยหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ของคนไทยนั้นมีอยู่ 2 ประการ คือ ทำเลและราคา ซึ่งหลายบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างให้ความสำคัญเรียกได้ว่าเริ่มแข่งขันกันตั้งแต่การเลือกซื้อที่ดินที่สะดวกสบายด้านคมนาคม ครบครันด้วยระบบสาธารณูปโภค จากนั้นจึงค่อยมาดูเรื่องกลยุทธ์ในการวางแนวคิดทางการตลาดที่แตกต่างกันออกไป
ปัจจัยในเรื่องทำเลดูเหมือนจะเป็นตัวหลักที่สำคัญที่ผู้ประกอบการทุกรายไม่อาจมองข้ามไปได้ ซึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่มักจะผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดรายรอบเครือข่ายคมนาคมต่างๆ ตามแต่ลักษณะและประเภทของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ก็จะต้องติดกับเส้นทางรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง เพื่อตอบสนองแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนเมืองเป็นหลัก แต่ถ้าหากเป็นบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ ที่ส่วนใหญ่มักอยู่ตามชานเมือง แน่นอนว่าต้องตั้งอยู่ใกล้ทางด่วน เข้าออกได้หลากหลาย ซึ่งแทบจะเป็นแนวทางการพัฒนาโครงการโดยทั่วไปแล้ว ส่งผลให้หลายบริษัทต้องแข่งขันในการเฟ้นหาที่ดินในทำเลทอง ซึ่งราคาก็ต้องสูงตามความงามของทำเล คราวนี้ก็ต้องมาแข่งขันกันว่าใครจะเล็งหรือวิเคราะห์ทิศทางการเจริญเติบโตได้ตรงมากกว่ากัน
นายชูเกียรติ ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องระบบคมนาคมที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ไว้ดังนี้ "ผมมองว่าทำเลที่สะดวกสบายในการเดินทางไปยังสถานที่ทำงานจะเป็นสิ่งแรกสุดในการพิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยลูกค้ามักมีแนวโน้มเลือกทำเลที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับย่านที่อยู่เดิม ที่น่าสังเกตอีกจุดคือ ผู้ที่อยู่อาศัยในทำเลเดิมเดียวกัน มักมีแนวโน้มเลือกทำเลที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกันทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน (เช่น ผู้ที่อยู่อาศัยย่านเยาวราช หากจะซื้อบ้านใหม่จะเลือกซื้อทำเลย่านปิ่นเกล้า-พุทธมณฑล) หลังจากเลือกทำเลแล้ว จึงพิจารณาเรื่องราคาและประโยชน์ใช้สอยควบคู่ไปกับชื่อเสียงของบริษัทผู้ประกอบการที่ผู้ซื้อพิจารณา จากประสบการณ์กว่า 47 ปี ของเครือมั่นคงเคหะการ ทำให้เราเชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดบ้านเป็นอย่างดี ส่งผลให้เราสามารถที่จะทำนายทิศทางการเจริญเติบโตของเมืองได้ไม่ยากนัก ดังนั้นการซื้อที่ดินไว้ ก่อนที่ทำเลเหล่านั้นจะเป็นที่นิยม จึงได้ต้นทุนในราคาที่ต่ำ และเมื่อเราพัฒนาโครงการเราย่อมสามารถขายบ้านได้ในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งในทำเลและคุณภาพใกล้เคียงกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรามอบให้ลูกค้าและถือเป็นจุดขายของมั่นคงเคหะการมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกโครงการของเราจะเน้นหนักในเรื่องความสะดวกสบายด้านคมนาคมเป็นหลัก ล่าสุดเราได้พัฒนาโครงการชวนชื่น แคราย โครงการชวนชื่น ปิ่นเกล้า และโครงการชวนชื่นแจ้งวัฒนะ ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้อย่างน่าพอใจ โดยปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อจากการตอบแบบสอบถามพบว่า เรื่องความสะดวกสบายด้านคมนาคม และความเชื่อมั่นในตัวของผู้ประกอบการมาเป็นอันดับหนึ่ง"
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ทราบว่า "เครือข่ายคมนาคม" มีบทบาทอย่างมากในการเลือกพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปัจจุบัน เรียกได้ว่าหากโครงการใดไม่ได้อยู่ใกล้กับระบบคมนาคมโอกาสในการปิดการขายโครงการในระยะสั้นนั้นเป็นไปได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับโครงการที่ใกล้กับเครือข่ายคมนาคมที่ลูกค้าเข้าชมและเลือกซื้อกันอย่างล้นหลาม ดังนั้นก่อนซื้อโครงการต่างๆ อยากให้ผู้ซื้อลองเลือกชมโครงการต่างๆ ให้หลากหลาย และเปรียบเทียบราคาให้ทราบอย่างชัดเจน โดยคำนึงถึงปัจจัยในด้านทำเล เครือข่ายคมนาคม ราคา พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นหลัก และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการเลือกซื้อโครงการบ้านจากผู้ประกอบการมืออาชีพ ที่มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงและชื่อเสียงในอดีตเป็นหลัก เพื่อให้ได้บ้านที่ถูกทั้งใจและคุ้มทั้งเงิน
"ผมมองว่าลูกค้าในปัจจุบันมีทักษะในการเลือกซื้อโครงการบ้านดีกว่าในอดีตมาก อาจจะเป็นเพราะบทเรียนจากยุคฟองสบู่ที่ช่วงนั้นใครอยากจะพัฒนาโครงการก็ทำออกมาขายโดยไม่มีความชำนาญมากพอ และยิ่งไปกว่านั้นการเลือกซื้อบ้านจากกระดาษยิ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะแทบจะไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าคุณซื้อบ้านแล้วจะได้บ้านหรือไม่ ดังนั้นจึงอยากจะเน้นให้ผู้ที่กำลังจะซื้อบ้านพิจารณาปัจจัยดังกล่าวด้วย เพราะการซื้อบ้าน 1 หลัง ของคน 1 คน คงเป็นเงินก้อนโตก้อนหนึ่งที่อาจจะใช้จ่ายไปเพียงครั้งเดียวในชีวิต เพื่อแลกมาซึ่งความพึงพอใจสูงสุดของคุณและครอบครัว" นายชูเกียรติ กล่าวสรุป--จบ--
-นห-