กรุงเทพฯ--28 มี.ค.--แสนสิริ
-เชื่อมั่นการป้องกันเชิงรุกช่วยให้อาคารสูงกว่า 70 แห่งของแสนสิริปลอดภัยจากเหตุเพลิงไหม้ได้ -
แสนสิริเดินหน้ามาตรการป้องกันอัคคีภัยในคอนโดมิเนียมเชิงรุกตั้งแต่การออกแบบอาคาร บริหารโครงการโดยมืออาชีพและให้ความรู้ลูกบ้าน หวังป้องกันเหตุเพลิงไหม้ในช่วงหน้าร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อการดูแลที่พร้อมเกินร้อยจะทำให้กว่า 70 โครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริปลอดภัยจากไฟไหม้ได้
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นโยบายในการสร้างมาตรฐานคุณภาพ ด้านการป้องกันระบบอัคคีภัยของแสนสิรินั้น จะให้ความสำคัญต่อ 3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย ปัจจัยที่ 1 คือมาตรฐานการออกแบบการก่อสร้างอาคารและการติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัยภายในอาคาร ปัจจัยที่ 2 คือ มาตรฐานของการบริหารโครงการ และปัจจัยที่ 3 คือมาตรฐานการให้ความรู้และสร้างให้ผู้อาศัย ตระหนักถึง ความปลอดภัยร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ยึดหลักการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
“มาตรฐานด้านการออกแบบ ขั้นตอนการก่อสร้างอาคาร รวมถึงการทุ่มงบประมาณในการป้องกันอัคคีภัย ถือเป็นจริยธรรมที่ผู้ประกอบการและเจ้าของอาคารทุกอาคารไม่ควรมองข้าม โดยส่วนใหญ่มักจะใช้งบประมาณกับปัจจัยดังกล่าวน้อย จึงทำให้เลือกใช้ระบบและวัสดุที่มีต้นทุนต่ำและด้อยประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดกำไรสูงสุด ทำให้ผู้อาศัยในอาคารตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงสูงสำหรับทุกโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบันของแสนสิริ เราได้ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับควันทั้งในห้องนั่งเล่นและห้องนอนทุกห้อง เนื่องจากคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยเป็นสำคัญเพราะโดยปกติหากเกิดเพลิงไหม้ในพื้นที่ดังกล่าว จะมีควันไฟขึ้นมาก่อนและอาจจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ รวทั้งยังติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนบริเวณครัว เพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้จากเปลวไฟในการเตรียมอาหาร ทั้งนี้ หากเกิดเพลิงไหม้หรือความร้อนในห้อง เครื่องมือดังกล่าวจะส่งสัญญาณไปยังระบบส่วนกลางของอาคาร โดยระบุชัดเจนว่าเหตุเกิดขึ้น ณ ห้องใดเพื่อการดับไฟและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที” นายอุทัยกล่าว
“นอกจากนั้น แสนสิริยังออกแบบให้ทุกโครงการสูงมีพื้นที่รอบตึกที่กว้างพอที่รถดับเพลิงจะเข้าถึง เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถดับไฟได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที รวมทั้งยังมีลิฟต์ดับเพลิงที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถใช้ได้แม้ในช่วงไฟไหม้ เพราะไม่ได้ใช้ไฟฟ้าแต่ถูกจ่ายไฟฟ้าโดยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของโครงการตลอดจนโครงการของแสนสิริในทุกโครงการยังมีการสร้างบันไดหนีไฟที่ใด้มาตรฐานในการป้องกันควันและความร้อนเมื่อเกิดอัคคีภัย ทำให้ผู้ที่พักอาศัยสามารถมั่นใจได้ว่าการใช้บันไดหนีไฟเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการหนีออกจากอาคาร”
ในส่วนปัจจัยด้านคุณภาพการบริหารโครงการนั้น นายอุทัยชี้แจงรายละเอียดในปัจจัยดังกล่าวว่า“การเลือกบริษัทบริหารโครงการเข้ามาดูแลโครงการเมื่อแล้วเสร็จ ถือเป็นปัจจัยที่ผู้อยู่อาศัยเข้ามามีอำนาจ ในการตัดสินใจเพราะได้รับการโอนสิทธิ์จากบริษัทผู้พัฒนาโครงการแล้ว ดังนั้นผู้อาศัยเองก็ต้องให้ ความสำคัญกับปัจจัยนี้ด้วยเช่นกัน ปัจจุบันหลายโครงการมักประหยัดในเรื่องการจ่ายค่าส่วนกลาง และเลือกบริษัทบริหารที่มีราคาไม่สูงมากเข้ามาบริหาร โดยไม่ได้คำนึงว่าบริษัทนั้นๆ มีความเชี่ยวชาญ มากน้อยเพียงไร ซึ่งก็ต้องวอนขอให้ผู้อาศัยในโครงการเล็งเห็นถึงความสำคัญในส่วนดังกล่าวด้วยเช่นกัน เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความเพิ่มของมูลค่าโครงการในอนาคต เพราะหากดูแลอย่าง ไร้มาตรฐาน โครงการก็จะยิ่งเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา นอกจากนี้ การสร้างให้ผู้อาศัยในโครงการทราบถึงความรู้ในการป้องกันอัคคีภัยมีความสำคัญไม่แพ้กัน”
“ปัจจุบันผู้อยู่อาศัยในทุกโครงการอาคารสูงของแสนสิริทั้งกว่า 70 โครงการสามารถมั่นใจ 100%ได้ในระบบป้องกันอัคคีภัยใน 3 ปัจจัยที่กล่าวมา โดยเราได้มอบให้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารโครงการเข้ามาดูแล ซึ่งได้มีการวางมาตรการป้องกันอัคคีภัยอย่างรัดกุม และมีการฝึกซ้อมหนีไฟทั้งทีมงาน และผู้อยู่อาศัยเป็นประจำทุก 6 เดือน ตลอดจนให้ความรู้และเทคนิคต่างๆ หากเกิดเหตุเพลิงไหม้ มีการจัดทำบอร์ดให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ลูกบ้านมั่นใจได้” นายอุทัย กล่าวสรุป