กรุงเทพฯ--2 เม.ย.--กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ที่จังหวัดภูเก็ต ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีอันเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาแผนปฏิรูปประเทศไทย โดยให้ภาคธุรกิจเอกชนสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการภายใต้แผนปฏิรูประเทศไทยเพื่อสร้างความเป็นธรรมและแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยควบคู่ไปกับการเติบโตของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและการพัฒนาเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ทั้งนี้ จะให้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน มาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้สองเท่าของที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิและกำไรสุทธิ แล้วแต่กรณี อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าว นอกจากจะเป็นการจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการคืนเด็กดีสู่สังคม เป็นการเตรียมความพร้อมให้กลับสู่สังคมอย่างยั่งยืนและสามารถกลับไปดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน อันจะมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาขนและการพัฒนาเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติด้วย
ขณะนี้กรมพินิจฯได้มอบหมายให้นายพงศ์สุระ ไกรนรา รองอธิบดีฯฝ่ายบริหารรับผิดชอบโครงการดังกล่าว และหารือผู้เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งคณะทำงานกำหนดหลักเกณฑ์ แนวทางในการดำเนินการ และกรอบการทำงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น การประเมินราคาสิ่งของที่รับบริจาค การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับสิ่งของ ฯลฯ ทั้งนี้สิ่งของที่บริจาคสามารถบริจาคได้ทั้งส่วนที่เป็นวัตถุ เช่น การปรับปรุงอาคาร ห้องเรียน ห้องพยาบาล หรือที่พักของเยาวชน การก่อสร้างอาคาร ห้องสมุด การบริจาคสิ่งของใหม่ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร หนังสือ ฯลฯ และสิ่งของเหลือใช้หรือสิ่งของที่เด็กและเยาวชนสามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกวิชาชีพได้