กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--พีอาร์ บูม
นายหน้าอสังหาฯ เตือนอย่าเพิ่งตัดสินใจขายบ้านหนีน้ำท่วม ชี้ขณะนี้ราคาบ้านมือสองตกต่ำสุดขีดถึง 10-30% เนื่องจากซัพพลายเพิ่มขึ้น 1.5 แสนหน่วย ย้ำมาตรการกระตุ้นตัดสินใจผู้ซื้อบ้านช่วยเหลือไม่ตรงจุด วอนรัฐขยายมาตรการครอบคลุมบ้านมือสองด่วน
นายแพทย์สมศักดิ์ มุนีพีระกุล นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ของธุรกิจบ้านมือสองในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาว่า เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมาทำให้ภาวะตลาดยังคงซบเซาต่อเนื่อง ในขณะที่มีบ้านมือสองที่พร้อมจะขายในตลาดเพิ่มขึ้น 10-20% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 3-4 แสนหน่วย หลังเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะทำให้มีบ้านมือสองเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 แสนหน่วย ทั้งนี้ จากการสำรวจโซนน้ำท่วมพบว่ามีทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสองได้รับผลกระทบ 1.5-1.6 ล้านหน่วย ในจำนวนนี้มีทั้งบ้านที่เข้าอยู่อาศัยมานานแล้ว บ้านที่เพิ่งเข้าอยู่อาศัย และบ้านที่ยังไม่เคยเข้าอยู่อาศัยเลย รวมทั้งกลุ่มบ้านมือสองที่กำลังประกาศขายอยู่ เพราะหลังจากน้ำท่วมแล้วทำให้มีบ้านมือสองที่พร้อมจะขายในตลาดเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาบ้านที่ลดลง 10-30% ขึ้นอยู่กับความเสียหาย และในกรณีที่น้ำท่วมมาก ๆ ก็จะกระทบต่อการตัดสินใจซื้อและมักจะขายไม่ได้ราคา เพราะผู้ซื้อจะต่อรองราคาค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สามารถขายได้ราคาดีนัก
ต่อข้อถามที่ว่า หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมภาครัฐได้เข้ามาช่วยเหลือธุรกิจบ้านมือสองมากน้อยแค่ไหน นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวว่า ความช่วยเหลือของรัฐไม่ได้เน้นบ้านมือสองเลย เห็นได้จากมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมามักไม่ถึงบ้านมือสองโดยตรง เช่น มาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรกมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท หากตัดสินใจซื้อแล้วโอนภายในปี 2555 สามารถนำยอด 10 % ของราคาบ้านไปลดหน่อยภาษีเงินได้ประจำปีโดยเฉลี่ยลดในเวาลา 5 ปี ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ดีมาก แต่ข้อเสียของมาตรการนี้คือจะต้องเป็นการซื้อบ้านใหม่เท่านั้น ทางสมาคมฯ ก็ได้พยายามชี้แจงให้ภาครัฐได้เห็นว่าความจริงแล้วหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้มีบ้านมือสองที่จะประกาศขายเพิ่มขึ้น หากประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านมือสองในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทซึ่งเป็นบ้านมือสองและเป็นบ้านหลังแรกได้รับผลจากมาตรานี้ด้วยช่นกันก็จะทำให้คนขายบ้านในโซนน้ำท่วมขายได้ง่ายและมากขี้น และจะทำให้ตลาดมีความคึกคักเพราะจะเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อ และภาครัฐจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
“ความจริงแล้วภาครัฐก็ไม่ได้ทอดทิ้งธุรกิจบ้านมือสองเลยซะทีเดียว เนื่องจากได้มีมาตรการกระตุ้นให้เกิดการซื้อบ้านมือสองราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท และได้สิทธิอัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 3 ปี แต่เงื่อนไขไม่ได้ช่วยเหลือบ้านมือสองทั้งหมด เนื่องจากได้ระบุให้ช่วยเหลือเฉพาะผู้ซื้อบ้านมือสองที่เป็นทรัพย์ NPA ของธนาคารอาคารสงเคราะห์เท่านั้น ทำให้บ้านมือสองทั่วไปไม่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ดังนั้น ภาครัฐจะต้องทบทวนถึงมาตรการความช่วยเหลือให้ครอบคลุมบ้านมือสองให้ทั่วถึง” น.พ.สมศักดิ์กล่าวและเปิดเผยเพิ่มเติมว่า หากมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจบ้านมือสองจะทำให้ตลาดที่มีดีมายด์และซัพพลายเพิ่มขึ้นมีสภาวะการซื้อ-ขายที่ดีขึ้น การที่ภาครัฐตั้งงบประมาณไว้ถึง 2 หมื่นล้านสำหรับช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก แต่ที่ผ่านมามีประชาชนสนใจซื้อบ้านผ่านโครงการดังกล่าวไม่ถึง 20% หรือประมาณ 2-3 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นการมุ่งช่วยเหลือเฉพาะบ้านใหม่อย่างเดียว หากมาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงบ้านมือสองด้วย เชื่อว่าจะมีตัวเลขมากกว่านี้อย่างแน่นอน สรุปแล้วทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับบ้านหลังแรกไม่เกิน 5 ล้านบาท และบ้านไม่เกิน 1 ล้านบาทดอกเบี้ย 0% ไม่เป็นไปตามเป้าทั้ง 2 มาตรการ
ทั้งนี้ ยอดขายบ้านมือสองทั้งบ้านประกาศขายเองและบ้านNPA ในแต่ละปีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นหน่วย แต่หลังจากน้ำท่วมนี้ยอดขายก็ได้รับผลกระทบ และทางสมาคมฯ ได้ออกประกาศเตือนผู้บริโภคว่าหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ อย่าเพิ่งขายบ้านในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เพราะราคาขายจะตกต่ำค่อนข้างมาก เชื่อว่าประมาณปลายไตรมาส 2-3 น่าจะทำให้ความรู้สึกเรื่องน้ำท่วมน่าจะเบาบางลง ซึ่งเชื่อว่าราคาบ้านมือสองจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐมีมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันน้ำท่วม จะเป็นปัจจัยที่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้าน โดยเฉพาะในทำเลที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมซึ่งจะทำให้คนไม่อยากขายบ้านทิ้ง เพราะพฤติกรรมคนไทยนั้นส่วนใหญ่ไม่ต้องการย้ายบ้านจากถิ่นที่เคยอยู่ หรือ ย้ายจากถิ่นที่ทำงานอยู่เดิม