กรุงเทพฯ--10 เม.ย.--PRdd
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์สของบริษัทฯในช่วงไตรมาสแรก ปี 2555 มีอัตราการเติบโตถึง 35% สูงกว่าตลาดรวมของโกลด์ฟิวเจอร์สที่เติบโต 26% โดยบริษัทฯมีปริมาณการซื้อขายจำนวน 145,955 สัญญา ส่งผลทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 8.3% ตลอดจนเป็นบริษัทฯ ที่มียอดการเทรดเฉพาะของลูกค้ารั้งขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโบรกเกอร์ทองอีกด้วย
“วายแอลจีมียอดการซื้อขายของสัญญาเติบโตเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ที่สำคัญมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 2 เป็นระยะเวลา 3 เดือนติดต่อกันตั้งแต่มกราคม-มีนาคม ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวมากลยุทธ์การเทรดรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้าซึ่งเป็นการเทรดแบบระยะสั้น โดยเป็นการทำกำไรระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยงของลูกค้า ประกอบกับการเดินหน้าจัดกิจกรรมสัมมนาให้ความรู้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่าน ตลอดจนการให้ข่าวสารที่แม่นยำและรวดเร็ว” นางสาวฐิภา กล่าว
นางสาวฐิภา ยังกล่าวว่า ราคาทองคำในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2555 ที่ผ่านมาได้มีการปรับขึ้นมาประมาณ 103 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็น 6.59% โดยทำจุดต่ำสุดที่ 1564.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,790.24 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% นั้นมีการปรับขึ้นเพียง 2.53% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต้นไตรมาส ในขณะที่สินทรัพย์อื่นก็มีการปรับขึ้นเช่นกัน โดยโลหะเงินได้เพิ่มสูงขึ้นมากที่สุด 15.99% ตามมาด้วย น้ำมัน และเงินยูโร ตามลำดับ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบทั้งปัจจัยที่มาจากราคาน้ำมัน เศรษฐกิจของสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก ซึ่งหมายรวมถึงเศรษฐกิจของยูโรโซนและประเทศจีนเป็นสำคัญ
สำหรับในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ทางวายแอลจีได้ประเมินว่าราคาทองคำสามารถที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 1,750-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 25,600-27,100 บาท และมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,600-1,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,400-22,650 บาท เนื่องจากความต้องการของถือสินทรัพย์ทองคำเพื่อการลงทุนนั้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าราคาทองคำจะมีการขยับลงจากกระแสข่าวเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานก็ตาม ขณะที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ยังให้ความสนใจที่จะถือสินทรัพย์ทองคำมากขึ้นเช่นกัน จากการที่ทองคำมีลักษณะเป็น Save Haven โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงทั้งราคาน้ำมันแพงและภาวะชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในปี 2554 ธนาคารกลางของทั่วโลกได้การซื้อทองคำรวมถึง 394 ตัน และนับว่าเป็นปีที่ 2 ที่มีการซื้อสุทธิในทองคำ
ทั้งนี้ปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำปรับขึ้นนั้น คือ ความขัดแย้งระหว่างประเทศอิหร่านกับชาติตะวันตกที่ยังไม่สามารถคลี่คลาย เนื่องจากว่าทางอิหร่านยังคงที่จะเดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ โดยไม่สนใจมาตรการคว่ำบาตรที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ชาติตะวันตกที่นำโดยประเทศสหรัฐฯเริ่มหามาตรการคว่ำบาตรอิหร่านต่อไปและเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจากปัญหาด้านอุปทานน้ำมัน ในขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ทำให้ราคาทองคำมักจะมีการปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหรัฐอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นถ้ามีการประกาศตัวเลขหรือการแถลงการณ์ของประธานเฟดในมุมมองที่ไม่ดี ย่อมส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสนี้ปัจจัยด้านลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกทั้งของยูโรโซนและจีนยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรติดตามอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยปัญหาเศรษฐกิจของยูโรโซนที่สำคัญก็ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่ลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาค และจีนอาจโดนปัจจัยลบจากภายนอกมากระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากเหตุผลข้างต้นอาจทำให้ราคาทองคำสามารถย่อตัวลงมาได้