กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--กระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยสถิติขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วงไตรมาสแรก ปี 2555 มีมูลค่าเงินลงทุนสูงกว่า 230,000 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 106 ด้านญี่ปุ่นยังเป็น นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด และทำให้สถิติการลงทุนจากต่างประเทศสูงถึง 134,000 ล้านบาท ด้านเลขาธิการบีโอไอเผย โครงการที่ประสบอุทกภัยเริ่มฟื้นตัว หลังนำเข้าเครื่องจักรเพื่อทดแทนเครื่องจักรเดิมที่เสียหาย มูลค่ากว่า 87,000 ล้านบาท และมีผู้ยื่นขอรับส่งเสริมเพื่อฟื้นฟูและขยายกิจการแล้วรวม 37 โครงการ เงินลงทุนกว่า 25,717 ล้านบาท
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานถึงภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกปี 2555 (มกราคม-มีนาคม) มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันปีก่อนโดยมีนักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้วทั้งสิ้น 470 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 231,100 ล้านบาท จำนวนโครงการปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีจำนวน 419 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 106 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 111,900 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นโครงการลงทุนที่ประสบอุทกภัยในปีที่ผ่านมา และได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพื่อฟื้นฟูและขยายกิจการ มูลค่ารวมประมาณ 25,000 ล้านบาท
กิจการที่ได้รับความสนใจเข้ามาลงทุนมากสูงสุด อยู่ในกลุ่มเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก 73 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 65,400 ล้านบาท รองมาเป็นกิจการบริการและสาธารณูปโภค 118 โครงการ เงินลงทุน 54,800 ล้านบาท กิจการอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องไฟฟ้า 86 โครงการ เงินลงทุน 48,300 ล้านบาท กิจการผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 101 โครงการ เงินลงทุน 28,700 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้รูปแบบการเข้ามาลงทุนจะกระจายในทุกกลุ่ม ทั้งกิจการขนาดเล็ก ขนาดกลาง รวมถึงกิจการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเงินลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ การลงทุนในกลุ่มกิจการขนาดใหญ่มีจำนวนมากถึง 42 โครงการ เงินลงทุนรวม 158,400 ล้านบาท โดยปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อยู่ที่ 21 โครงการ เงินลงทุน 58,900 ล้านบาท
“กระทรวงอุตสาหกรรมมั่นใจว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย จึงทำให้มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ” ม.ร.ว. พงษ์สวัสดิ์ กล่าว
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ในช่วงไตรมาสแรก ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนค่อนข้างมาก โดย มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 312 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 134,151 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยโครงการปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 254 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 91 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 70,111 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด เป็นโครงการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 173 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,982 ล้านบาท รองลงมาเป็น มาเลเซีย 11 โครงการ เงินลงทุนรวม 10,714 ล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมทุนกับญี่ปุ่น 1 โครงการ มูลค่ากว่า 9,500 ล้านบาท อันดับ 3 โครงการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา 17 โครงการ เงินลงทุน 9,116 ล้านบาท อันดับ 4 เนเธอร์แลนด์ 10 โครงการ เงินลงทุน 8,505 ล้านบาท อันดับ 5 โครงการลงทุนจากฮ่องกง 6 โครงการ เงินลงทุน 5,370 ล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมทุนกับนักลงทุนญี่ปุ่น 1 โครงการ มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ กล่าวถึงผลของมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย ว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยเริ่มฟื้นตัวแล้ว โดยมีผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อทดแทนเครื่องจักรเดิมที่เสียหาย มูลค่ากว่า 87,000 ล้านบาท และมีผู้ยื่นขอรับส่งเสริมเพื่อฟื้นฟูและขยายกิจการแล้วรวม 37 โครงการ เงินลงทุนรวม 25,717 ล้านบาท อาทิ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เป็นต้น