กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
HARRY POTTER AND THE PRISONER OF AZKABAN
Final Production Information
แฮร์รี่ พอตเตอร์ หนุ่มน้อยวัย 13 ต้องใช้เวลาช่วงปิดภาคฤดูร้อนอย่างไม่เต็มใจอีกครั้งหนึ่งกับครอบครัวเดอร์สลีย์ ญาติที่แสนน่าเบื่อของเขา ด้วยความเหนื่อยหน่ายที่เขาจะต้อง "ประพฤติตัวให้ดี" และไม่ฝึกฝนการใช้คาถาใดๆ นั่นก็คือจนกระทั่งป้ามาร์จ พี่สาวที่ชอบแสดงอำนาจของลุงเวอร์นอนแวะมาเยี่ยม ป้ามาร์จปฏิบัติต่อแฮร์รี่อย่างร้ายกาจมาโดยตลอด และในคราวนี้เธอได้ทำให้เขาคุมตัวเองไม่อยู่จนกระทั่งทำให้เธอตัวพองเหมือนลูกโป่งและลอยได้ "โดยไม่ได้ตั้งใจ" ด้วยความกลัวว่าตนเองจะถูกลงโทษจากป้าและลุง (และผลสะท้อนที่จะกลับมาจากฮอกวอตส์ และกระทรวงเวทย์มนตร์ ซึ่งห้ามพ่อมดไม่บรรลุนิติภาวะใช้คาถาในโลกที่ไม่มีเวทย์มนตร์โดยเด็ดขาด) แฮร์รี่จึงหลบหนีไปสู่ยามรัตติกาล
เขาได้ถูกรับขึ้นรถไปอย่างทันท่วงทีโดย "รถเมล์อัศวินราตรี" พาหนะมหัศจรรย์สามชั้นสีม่วงที่โฉบตัวเขาเพื่อพาไปส่งไว้ที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว เมื่อไปถึงที่นั่น แฮร์รี่ได้พบกับรัฐมนตรีแห่งกระทรวงเวทย์มนตร์ คอร์นีเลียส ฟัดจ์ ซึ่งไม่มีคำอธิบายได้ถึงการที่เขาไม่ลงโทษแฮร์รี่ในการเป็นพ่อมดพเนจร และกลับยืนยันให้เขาค้างแรมที่ร้านหม้อใหญ่รั่วก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปฮอกวอตส์
เหตุผลของการที่ฟัดจ์ไม่ได้ไล่แฮร์รี่ออกจากโรงเรียนนั้น สืบเนื่องมาจากการที่ ซิเรียส แบล็ก พ่อมดอันตรายและลึกลับ ได้หลบหนีจากคุกแห่งอัซคาบัน และเชื่อกันว่ากำลังตามหาตัวแฮร์รี่ (เล่าลือกันมาว่าแบล็กเป็นผู้รับผิดชอบในการนำลอร์ดโวลเดอมอร์ไปพบกับพ่อแม่ของแฮร์รี่และผลที่ตามมาก็คือการตายของพวกเขา และในตอนนี้เขาตั้งใจจะมาฆ่าแฮร์รี่ด้วย) ดังนั้นสถานที่แห่งเดียวที่ปลอดภัยสำหรับเขาก็คือ ฮอกวอตส์แต่ที่ทำให้ยิ่งแย่ไปกว่าก็คือ ฮอกวอตส์ต้องต้อนรับบรรดาผู้คุมวิญญาณ ผู้ดูแลจากอัซคาบันที่น่าสพรึงกลัว ซึ่งพยายามจะปกป้องแฮร์รี่และโรงเรียนจากแบล็ก โดยพวกมันจะดูดเอาวิญญาณจากเหยื่อ และโชคไม่ดีของแฮร์รี่เพราะพวกมันดูเหมือนจะถูกดึงดูดเข้าหาเขาอย่างอธิบายไม่ได้ การปรากฎตัวอย่างเป็นลางร้ายของพวกมันนั้น ทำให้พ่อมดหนุ่มน้อยรู้สึกเย็นเยียบไปจนถึงกระดูก และทำให้เขาไร้กำลังได้อย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งศาสตราจารย์ลูปิน อาจารย์ผู้สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่ ได้ฝึกให้แฮร์รี่รู้จักวิธีใช้คาถาผู้พิทักษ์ เพื่อปกป้องตัวเองจากอำนาจของผู้คุมวิญญาณที่มีผลทำให้ไร้ความรู้สึก
ในขณะเดียวกัน ปีที่สามของแฮร์รี่ในฮอกวอตส์ ก็เต็มไปด้วยตัวละครที่น่าตื่นเต้นอีกหลายตัว อย่างเช่น บัคบีค สัตว์วิเศษครึ่งนกครึ่งม้าที่เรียกว่า "ฮิปโปกริฟฟ์"; การพบกับลางบอกเหตุแห่งความตายที่น่าขนหัวลุก รู้จักกันในชื่อ "กริม"; และการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น รวมทั้งการไปเที่ยวหมู่บ้านพ่อมดฮอกส์มี้ดอย่างไม่เปิดเผย การถอดรหัสที่ซุกซ่อนอยู่ในแผนที่ตัวกวน และการเดินทางที่น่าสพรึงกลัวสู่เพิงโหยหวน (สถานที่ซึ่งขึ้นชื่อว่าผีดุที่สุดในประเทศอังกฤษ) ในเวลาเดียวกัน แฮร์รี่ก็ต้องพยายามหาเหตุผลให้ได้ถึงการปรากฎและหายตัวอย่างเป็นปริศนาของเฮอร์ไมโอนี่ ด้วยความช่วยเหลือของรอนและแฮกริดร่างยักษ์ ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งใหม่ในฮอกวอตส์ เป็นอาจารย์สอนวิชาการดูแลสัตว์วิเศษ
การเผชิญหน้าระหว่างแฮร์รี่และนักโทษลึกลับ ซิเรียส แบล็ก เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…แต่อะไรคือความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างศาสตราจารย์ลูปินและแบล็ก? ความลับดำมืดอะไรที่ศาสตราจารย์ สเนปอยากจะเปิดเผยเป็นอย่างยิ่ง? และทำไมสแคบเบอร์ หนูที่เป็นสัตว์เลี้ยงของรอนจึงดูตื่นกลัวขนาดหนัก และคอยวิ่งหนีจากการจับต้องตัวของเขา? แฮร์รี่จะต้องใช้ทั้งกำลังใจ เวทย์มนตร์ และแรงสนับสนุน เพื่อที่เขาจะสามารถรวบรวมสิ่งที่จะตอบคำถามเหล่านี้ ที่จะเปิดเผยความจริงซึ่งอยู่เบื้องหลังซิเรียส แบล็ก และสิ่งที่เชื่อมโยงเขากับอดีตที่แสนลึกลับของพ่อมดหนุ่มน้อยผู้มีความสามารถคนนี้
วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ภาพยนตร์ของ Heyday Films / 1492 Pictures โดย อัลฟองโซ คัวรอน Harry Potter and the Prisoner of Azkaban, นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ต กรินท์, เอ็มม่า วัตสัน, ร็อบบี้ โคลเทรน, ไมเคิล แกมบอน, ริชาร์ด กริฟฟิธส์, แกรี่ โอลด์แมน, อลัน ริคแมน, ฟิโอน่า ชอว์, แมกกี้ สมิธ, ทิโมธี สปอล, เดวิด ธิวสลิส, เอ็มม่า ทอมป์สัน และจูลี่ วอลเตอร์ส
กำกับการแสดงโดย อัลฟองโซ คัวรอน อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน, คริส โคลัมบัส และ มาร์ค แรดคลิฟฟ์ เขียนบทภาพยนตร์โดย สตีฟ โคลฟส์ จากนวนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้อำนวยการบริหาร ได้แก่ ไมเคิล บาร์นาแธน, คอลลัม แมกดูกัล และ แทนยา เซแกทเชียน ผู้กำกับภาพ ได้แก่ ไมเคิล เซเรซิน ; ผู้ออกแบบผ่ายศิลป์ ได้แก่ สจ๊วต เครก; ผู้ลำดับภาพ ได้แก่ สตีเวน ไวส์เบิร์ก และประพันธ์ดนตรีประกอบโดย จอห์น วิลเลียมส์
Harry Potter and the Prisoner of Azkaban จัดจำหน่ายโดย วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์
ทิศทางใหม่
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน เป็นภาพยนตร์ภาคที่สามโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ที่ดัดแปลงจากหนังสือนิยายเรื่องดังหลายเล่ม Harry Potter ของเจ. เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งแฮร์รี่กับเพื่อนๆ รอนและเฮอร์ไมโอนี่ ในวัยแรกรุ่น กลับมาเรียนในปีสามที่ฮอกวอตส์ ที่ซึ่งเด็กวัยรุ่นทั้งสามถูกบีบบังคับให้เผชิญกับความกลัวอันเร้นลับที่สุดของพวกเขา ในขณะที่ต้องรับมือกับนักโทษแหกคุกที่เป็นอันตราย และบรรดาผู้คุมวิญญานที่น่ากลัวพอๆ กัน ซึ่งถูกส่งไปที่นั่นเพื่อคุ้มกันพวกเขา
เมื่อผู้กำกับการแสดง อัลฟองโซ คัวรอน ได้รับการทาบทามให้มารับหน้าที่กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter and the Prisoner of Azkaban นั้น เขาเพิ่งเสร็จจากการทำงานในภาพยนตร์ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเรื่อง Y Tu Mam? Tambi?n และไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "ตำนานอภินิหารของแฮร์รี่ พอตเตอร์" แต่หลังจากได้อ่านบทภาพยนตร์ของสตีฟ โกลฟและนิยายหลายเล่มแล้ว คัวรอนก็ต้องติดใจ
"ถึงแม้ว่าผิวหน้าของเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเวทย์มนตร์และผู้วิเศษ แต่ประเด็นที่ถูกแสวงหาในเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผม และมันเข้ากันกับยุคสมัยนี้" ผู้เขียนบท/ผู้กำกับฯ ชื่อดังกล่าว เขาเคยกำกับฯ หนังเรื่องราวของครอบครัวที่น่าหลงใหล เรื่อง A Little Princess และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขา Best Screenplay ในปี 2003 จากเรื่อง Y Tu Mam? Tambi?n "เป็นประเด็นเกี่ยวกับการเติบโตขึ้น เอกลักษณ์เฉพาะตัว สัมพันธภาพระหว่างเพื่อน ไร้ซึ่งการชี้แนะจากพ่อแม่และการไขว่คว้าที่อยู่ภายในตัว ยังรวมไปถึงเรื่องของระดับชนชั้น ความอยุติธรรม การแบ่งชนชั้น - สิ่งต่างๆที่มีผลกระทบต่อพวกเราทั่วโลก"
ในฐานะผู้อำนวยการสร้างเดวิด เฮย์แมนเล่าว่า "Y Tu Mam? Tambi?n เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการก้าวผ่านจากวัยรุ่นไปสู่ความเป็นลูกผู้ชายอย่างถูกต้อง และเรื่องราวในภาคที่สามของ Harry Potter เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางจากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่น แกนของเรื่องมีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก อัลฟองโซเข้าใจถึงภาษาของชีวิตวัยรุ่นเป็นอย่างดี - เขามีความเป็นวัยรุ่นอยู่ในหัวใจ ยิ่งกว่านั้น เพียงแค่ได้ดูหนังเรื่อง A Little Princess ก็จะเห็นได้ว่าเขามีเวทย์มนตร์อยู่ในจิตวิญญาณ เขาเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งและมีอารมณ์ขัน เขาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม"
"อัลฟองโซยอดเยี่ยมมากกับนักแสดงรุ่นเด็ก และนั่นเป็นสิ่งสำคัญที่เห็นได้ชัดมากกับภาพยนตร์เรื่องนี้" คริส โคลัมบัสกล่าวเสริม เขาร่วมกับเฮย์แมนและหุ้นส่วน มาร์ค แรดคลิฟฟ์ ในการเป็นผู้อำนวยการสร้างในเรื่อง Harry Potter and the Prisoner of Azkaban หลังจากที่ได้กำกับฯ ภาพยนตร์ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญอย่างมากสองเรื่องแรกของ Harry Potter "เขายังเป็นหนึ่งในบรรดาผู้กำกับฯที่มีผลงานตื่นเต้นเร้าใจของทุกวันนี้ และเขายังมีไหวพริบในการเล่าเรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากที่ใช้เวลา 4 ปี ในการกำกับฯเรื่อง Harry Potter and the Sorcerer's Stone และ Harry Potter and the Chamber of Secrets โคลัมบัสได้ตัดสินใจ "ขอเวลากินข้าวเย็นกับลูกๆ!" เขาพูดอย่างอารมณ์ดี "การเลือกให้ผู้กำกับฯ อีกคนได้ทำงานในภาพยนตร์ของ Harry Potter นับเป็นดาบสองคมจริงๆ ในด้านหนึ่งเรากำลังมองหาผู้กำกับฯที่จะยินดีที่จะก้าวเข้ามาโลกที่ถูกสร้างไว้แล้ว กับดาราที่ได้ถูกคัดเลือกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันเราต้องการใครสักคนที่จะนำมุมมองและวิสัยทัศน์ของตัวเขาเองในการสร้าง เราต้องการให้ผู้ชมติดตามการผจญภัยนี้ไปกับเหล่านักแสดงและโลกที่พวกเขารัก แต่ก็ได้ก้าวสู่มิติใหม่ๆ ไปในเวลาเดียวกันด้วย "
เจ. เค. โรว์ลิ่ง ผู้ประพันธ์ที่นับเอา A Little Princess ว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดนิยมของเธอ ได้ให้ความสนับสนุนคัวรอนอย่างเต็มที่ในความพยายามของเขาที่จะนำนวนิยายภาคที่สามที่น่าสนใจของเธอมาทำเป็นภาพยนตร์ "โจ โรว์ลิ่งได้ขอร้องกับผมว่าไม่ต้องตีความทุกตัวอักษรจนเกินไป แต่ให้ยึดมั่นต่อใจความของนวนิยาย" ผู้กำกับฯ บรรยาย "เธอพูดถึงโลกที่เธอได้สร้างขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วและรู้ดีพอๆ กัน ว่าถ้าต้องการสร้างภาพยนตร์ที่ยาวไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง คุณก็ต้องเลือก ผมรู้ว่าถ้าผมเคารพต่อโลกของ Harry Potter ก็เป็นไปได้ที่จะได้สร้างภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของผม"
คัวรอนพึงพอใจในความจริงที่ว่าเขา "ได้รับช่วงต่อ" ฉากและนักแสดงของโลกที่ได้ถูกสร้างไว้แล้ว เพราะมันทำให้เขามีเวลามากขึ้นในการเน้นเกี่ยวกับเรื่องราวและการแสดงของตัวแสดง แดเนียล แรดคลิฟฟ์, เอ็มม่า วัตสัน, รูเพิร์ต กรินท์ สำหรับนักแสดงเด็ก การสร้างเรื่องนี้ได้นำความท้าทายใหม่สองอย่างมาสู่พวกเขา : การสื่อถึงการเติบโตสู่วัยหนุ่มสาวของตัวละคร และการทำงานเป็นครั้งแรกโดยไม่มีโคลัมบัส ครูผู้สอนการแสดงของพวกเขา
"ผมมีโอกาสฝึกทุกอย่าง ที่ผมได้เรียนรู้ในระหว่างการทำงานกับคริสมากว่า 2 ปี" แดเนียล แรดคลิฟฟ์ กล่าวอย่างกระตือรือร้น "ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถทำงานในหนังกับอัลฟองโซ คัวรอนได้ก่อนหน้านี้ แต่ผมรู้สึกว่าพร้อมหลังจากที่ได้เรียนรู้มาอย่างมากกับคริส และที่ผมได้เรียนกับอัลฟองโซก็เช่นกัน ผมสามารถนำไปใช้กับไมค์ นิวเวลได้ มันเป็นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องสำหรับผม"
สำหรับเอ็มม่า วัตสัน ของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดที่โคลัมบัสให้เธอคือความมั่นใจ ซึ่งสำคัญมากต่อการแสดงของเธอในบทเฮอร์ไมโอนี่ในเรื่อง Prisoner of Azkaban "อัลฟองโซให้พวกเราคิดเกี่ยวกับตัวละครของเรา และวิธีที่เขาจะตอบสนองในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าฉันพร้อมจะทำในภาพยนตร์สองภาคแรก" เธอทบทวน
คัวรอนรู้สึกโชคดีที่ได้ทำงานกับบรรดานักแสดงในวัยนี้ ด้วยประสบการณ์ที่หาค่ามิได้ของพวกเขาจากผลงานในสองภาคแรก "พวกเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวละครของพวกเขาและโลกรอบๆ ตัวพวกเขา รวมทั้งปัจจัยทางเทคนิคทั้งหมด อย่างเช่น สเปเชี่ยลเอฟเฟ็ค บลูสกรีนและการแสดงร่วมกับลูกบอลแขวนบนปลายไม้" เขาวิจารณ์ "บวกกับการที่พวกเขาโตเต็มที่ถึงจุดที่พวกเขาเต็มใจที่จะก้าวไปสู่อาณาเขตแห่งอารมณ์ มากกว่าที่พวกเขาเคยทำมาก่อน"
หนึ่งในหลายสิ่งที่คัวรอนพิจารณาเป็นหลักก็คือการรู้จักตนเองของบรรดาตัวละครหลักที่เป็นวัยรุ่น ซึ่งความกลัวทั้งปวงที่พวกเขาต้องเผชิญจะแสดงถึงตัวเองอย่างชัดเจนจากภายใน มากกว่าบรรดาสัตว์ประหลาดทั้งหลาย ตามความเห็นของเฮย์แมนนั้น "มันเป็นเรื่องสำคัญต่ออัลฟองโซที่จะสรุปถึงชีวิตของเด็กๆ ที่เปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาอายุ 13 ปี ความชั่วร้ายที่พวกเขาเคยประสบมาไม่ได้เป็นเพียงปีศาจที่มาจากภายนอก อย่างเช่น แมงมุม หรือบาซิลิสก์ พวกปิศาจร้ายนั้นมาจากภายใน"
"แฮร์รี่ไม่ได้เผชิญกับการข่มขวัญของบรรดาสัตว์วิเศษมากเท่ากับการเปิดเผยถึงชีวิตของเขาเอง" คัวรอนขยายความ "เขาได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเอง และของคนที่อยู่รอบข้างเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่กดดันให้เขาโตขึ้นอย่างรวดเร็ว"
แรดคลิฟฟ์ต้องถ่ายทอดสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น "ทุกข์ของวัยรุ่น" จากนิยายของเจ. เค. โรว์ลิ่ง จากการรับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์ วัยสิบสามปี เขามองว่า "แฮร์รี่เป็นหนุ่มน้อยที่แสนโกรธแค้น เขาไม่กลัวที่จะพูดย้อนใส่พวกเดอร์สลีย์ หรือเผชิญกับตัวตนของเขาเอง ถึงแม้ผมจะคิดว่าพวกวัยรุ่นคนอื่นๆ นั้นความโกรธจะถูกทำให้สมดุลย์กับความขลาดอายต่อสังคม"
ในขณะที่แฮร์รี่เผชิญกับการเปิดเผยที่น่าตกใจเกี่ยวกับอดีตของเขา เฮอร์ไมโอนี่เองก็ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงในวัยของเธอเอง "ในหนังสองเรื่องแรก เฮอร์ไมโอนี่เป็นคนมีเหตุผล รู้ว่าควรจะทำอะไรอยู่เสมอ" วัตสันกล่าวถึงตัวละครแก่แดดของเธอ ซึ่งความเป็นมักเกิ้ลของเธอเป็นจุดของความโต้แย้งกับเดรโก มัลฟอย คู่ปรับจากบ้านสลิธีริน "ในเรื่องที่สาม เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจว่าเธอจะไม่ยอมอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นมัลฟอยหรือใครก็ตาม เธอลงเอยด้วยการชกหน้ามัลฟอย และเดินออกจากชั้นเรียนด้วยความโมโห เธอกลายเป็นพวก 'พลังหญิง' มีอารมณ์แรงขึ้น และแน่นอนว่าสนุกที่ได้เล่น"
เพื่อเป็นการช่วยให้บรรดานักแสดงรุ่นเด็กมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับตัวละครของเพวกเขา คัวรอนได้ขอให้แต่ละคนเขียนเรียงความ โดยใส่รายละเอียดการเติบโตตั้งแต่วันแรกๆ ที่ฮอกวอตส์ไปจนถึงในตอนเริ่มเรื่องที่สาม "ผมจำได้ว่าตอนไปส่งเรียงความแล้วรู้สึกดีใจขนาดไหน เพราะทั้งเอ็มม่าและรูเพิร์ตยังเขียนไม่เสร็จ" แรดคลิฟฟ์เล่าให้ฟังยิ้มๆ "ผมเขียนถึงตัวละครตัวเองเต็มหน้า แต่พอวันรุ่งขึ้น เอ็มม่าก็เอางานมาส่ง เธอเขียนไปสิบหกหน้าครึ่ง!"
"เรียงความของฉันถึงเฮอร์ไมโอนี่ทำให้ฉันคิดได้ถึงสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน" วัตสันสารภาพ "อัลฟองโซขอให้เราเขียนว่าทำไมตัวละครของเราจึงทำอย่างนั้น อะไรอยู่เบื้องหลังความคิดของพวกเขา และสิ่งต่างๆ มีผลต่อพวกเขาอย่างไร เขาเรียกมันว่า 'การเปิดหน้ากากพวกเขา' ฉันได้รู้ว่าการที่เฮอร์ไมโอนี่หมกมุ่นอยู่กับหนังสือและการเรียนนั้นเป็นเหมือนผ้าห่มนิรภัยของเธอ มันช่วยให้ฉันเข้าใจเธอมากขึ้น"
คัวรอนยังคงรอเรียงความของรูเพิร์ต กรินท์อยู่ "แต่ว่า นั่นมันเหมือนตัวละครของผมนะ!" รูเพิร์ทประท้วง "แดนกับเอ็มม่าช่วยแก้ตัวกับอัลฟองโซแทนผม เช่นหมากินสมุดการบ้าน อะไรทำนองนั้น แต่รอนก็ไม่เคยชอบเรียนหนังสือ และเขาก็มีข้อแก้ตัวทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ เพื่อไม่ต้องเขียนเรียงความ ผมก็เลยเป็นเหมือนตัวละครนั่นแหละ!"
ผู้กำกับฯ ได้พบว่าแบบฝึกหัดนั้นมีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อ เพราะมันทำให้เขาเห็นถึงบุคลิกภายในของนักแสดงรุ่นเยาว์ทุกคนของเขา "พวกเด็กๆ ใส่จิตวิญญาณลงไปในเรียงความของพวกเขาจริงๆ ในการเขียนนั้นพวกเขาไม่ต้องกลัวที่จะเปิดเผยหรือค้นหาจุดเปราะบางในตนเอง" คัวรอนกล่าว เขายังคงเก็บข้อมูลไว้แม้กระทั่งจบการถ่ายทำไปแล้ว "เรามักจะใช้มันเพื่ออ้างอิงในระหว่างการถ่ายทำ เหมือนเป็นชวเลขที่ช่วยให้เด็กๆ เข้าที่เข้าทาง"--จบ--
-นท-