กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--สถาบันอาหาร
สถาบันอาหาร แจงผลกระทบอุตสาหกรรมอาหารหลังปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท พบต้นทุนผลิตโดยรวมสูงขึ้น ตั้งแต่ร้อยละ 5 — 20 ขึ้นกับระดับความเข้มข้นในการใช้แรงงานตลอดสายโซ่การผลิต กลุ่มสินค้าสัตว์น้ำ โดนหนักสุดเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 20 กลุ่มสินค้าเนื้อสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10 กลุ่มสินค้าผักผลไม้ กรณีธุรกิจขนาดกลาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 - 10 กลุ่มสินค้าขนมปัง/อบกรอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 — 10 เฉพาะภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นจาก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ การแปรรูปไก่ อุตสาหกรรมประมง และอุตสาหกรรมผักผลไม้ รวมกันคาดว่ามีการจ้างงานมากกว่า 1.2 แสนคน สำหรับในกรุงเทพฯ มีแรงงานราว 7 หมื่นคน โรงงานเอสเอ็มอีรับไปเต็มๆ ต้นทุนเพิ่มร้อยละ 6.4 ส่วนปัญหาขาดแคลนแรงงานระดับล่างที่เรื้อรังมานานอีกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคนยังแก้ไม่ตก หวั่นเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานโกลาหล ชี้แรงงานต่างด้าวมีพฤติกรรมเข้าออกงานสูง เชื่อระยะยาวผู้ประกอบการปรับตัวได้ แต่ต้องให้ความช่วยเหลือเรื่องสิทธิประโยชน์ด้านภาษี อัตราดอกเบี้ย และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ทันเวลา
นายเพ็ชร ชินบุตร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่าการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท ใน 7 จังหวัดนำร่อง(ภูเก็ต กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม และนนทบุรี) และอีกประมาณร้อยละ 40 (อยู่ในช่วง 222 - 273 บาท) ใน 70 จังหวัดที่เหลือ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมานั้น อุตสาหกรรมอาหารถือเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอย่างมาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น(Labor Intensive) การเพิ่มสัดส่วนการใช้เครื่องจักรแทนต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นยังมีข้อจำกัดในอุตสาหกรรมอาหารหลายสาขา โดยเฉพาะกลุ่มอาหารทะเล และผักผลไม้แปรรูปเพราะโครงสร้างและธรรมชาติของธุรกิจที่ใช้ในกระบวนการคัดแยก ตัดแต่งวัตถุดิบขั้นต้นที่ต้องอาศัยแรงงานคนเป็นสำคัญ รวมทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีเองที่มีจำนวนสูงถึงร้อยละ 97 ของอุตสาหกรรมอาหารทั้งหมด ซึ่งยังไม่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยีในการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้แทนแรงงานคนได้
ปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมอาหารทั่วประเทศมีจำนวนประมาณ 9,227 โรงงาน แบ่งเป็นโรงงานขนาดเล็กร้อยละ 91 ขนาดกลาง ร้อยละ 6 และขนาดใหญ่เพียงร้อยละ 3 สำหรับภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น การแปรรูปไก่ มีจำนวน 320 โรงงาน อุตสาหกรรมประมง 579 โรงงาน อุตสาหกรรมผักผลไม้ 640 โรงงาน รวมกันคาดว่ามีการจ้างงานมากกว่า 1.2 แสนคน เฉพาะกรุงเทพฯ มีโรงงานอุตสาหกรรมอาหารตั้งอยู่ประมาณ 2,405 ราย เป็นขนาดเล็ก 2,050 ราย ขนาดกลาง 165 ราย และขนาดใหญ่ 186 ราย ประเมินว่ามีแรงงานไม่ต่ำกว่า 70,000 คน การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน จะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 6.4
โดยโครงสร้างต้นทุนด้านแรงงานของอุตสาหกรรมอาหารบางประเภทที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูง ได้แก่ น้ำผลไม้ มีต้นทุนค่าแรงงานร้อยละ 15 เส้นหมี่เส้นก๋วยเตี๋ยว ร้อยละ 15 กุ้งแปรรูป/ซูริมิ ร้อยละ 10 ข้าวโพดอ่อนกระป๋อง/ข้าวโพดหวานแช่แข็ง/ข้าวโพดหวานกระป๋อง ร้อยละ 10 ทูน่ากระป๋อง ร้อยละ 6 นมพร้อมดื่ม/ผงชูรส ร้อยละ 5 และแป้งมัน/แป้งข้าว ร้อยละ 4-5
จากการสำรวจของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหาร ในบางกลุ่มสินค้าพบว่าการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าว ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป โดยในกลุ่มสินค้าสัตว์น้ำ เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 20 กลุ่มสินค้าเนื้อสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10 กลุ่มสินค้าผักผลไม้ กรณีธุรกิจขนาดกลาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 - 10 ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 - 3 กลุ่มสินค้าขนมปัง/อบกรอบ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6 — 10 เป็นต้น
“โดยรวมพบว่าต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้น ตั้งแต่ร้อยละ 5 — 20 ขึ้นกับระดับความเข้มข้นในการใช้แรงงานตลอดสายโซ่การผลิต เช่น ระดับฟาร์ม ค่าจ้างแรงงานก็มีต้นทุนเพิ่มขึ้น การเก็บเกี่ยว ตัดแต่ง การขนส่ง การผลิตบรรจุภัณฑ์ ฉลาก ส่วนผสม การแปรรูป ธุรกิจค้าปลีก เมื่อนำต้นทุนที่ปรับเพิ่มจากทุกหน่วยมารวมกันจะทำให้ต้นทุนรวมสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากผู้ผลิตไม่สามารถรับภาระนี้ได้ ก็ผลักออกมาเป็นทอดๆ สุดท้ายก็จะมาเป็นภาระของผู้ซื้อที่ต้องซื้อสินค้าในราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็จะเกิดการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากมีการปรับค่าจ้างที่ไม่เท่ากันในพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้แรงงงานอาจเคลื่อนย้ายไปในจังหวัดที่ได้ค่าแรงสูงกว่ามาก
ขณะที่มีแนวทางการปรับตัว โดยปรับลดจำนวนชั่วโมงทำงานล่วงเวลา จัดทำ Job analysis เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและทักษะการผลิตของแรงงาน จัดระบบ Manpower Management ออกนโยบายลดจำนวนวันทำงานภายใต้ Production output ที่กำหนดไว้ และเจรจาขอปรับราคาสินค้ากับลูกค้า กรณีโรงงานขนาดใหญ่เน้นเพิ่มการใช้เครื่องจักรในระบบผลิตมากขึ้น โดยในระยะยาวหากยังไม่มีความชัดเจนด้านสิทธิประโยชน์การลงทุน และมาตรการด้านภาษี อาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน” นายเพ็ชร กล่าว
อย่างไรก็ตาม นโยบายอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ อาจจะส่งผลกระทบต่อนโยบายส่งเสริมการลงทุน และการจ้างงาน กล่าวคือ จะทำให้ นโยบายส่งเสริมการลงทุนไปสู่ภูมิภาคด้อยประสิทธิภาพลงไป เพราะจะไม่จูงใจให้ภาคธุรกิจไปลงทุนในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าโดยมีตลาดหลักภายในประเทศจะเน้นลงทุนในหัวเมืองใหญ่เป็นหลักเพราะใกล้ตลาด ประหยัดค่าขนส่ง รวมทั้งประชาชนมีอำนาจซื้อสูง ขณะที่ธุรกิจที่เน้นส่งออกก็จะเข้าไปลงทุนในพื้นที่ที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ เช่น ใกล้ท่าเรือหรือแหล่งวัตถุดิบเพื่อความสะดวก ประหยัดเวลาและต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งภาครัฐอาจต้องให้สิทธิพิเศษมากขึ้นเพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจยังคงลงทุนในพื้นที่ที่ต้องการส่งเสริมต่อไปโดยไม่เคลื่อนย้ายไปที่อื่น นอกจากนี้ยังทำให้อุปสงค์ต่อแรงงานต่างด้าวจะสูงขึ้น เกิดปัญหาการไหลทะลักของแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย
นายเพ็ชร กล่าวต่อว่า ในระยะสั้นนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ในระยะยาวเชื่อว่าภาคธุรกิจจะปรับตัวได้ ปัญหาคือควรมีแนวทางในการลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจในช่วงแรกของการดำเนินนโยบาย โดยเฉพาะมาตรการที่ช่วยลดภาระต้นทุนของภาคเอกชน ตัวอย่างเช่น การลดภาษีนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักร รวมทั้งวัตถุดิบบางประเภทที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ ให้สิทธิพิเศษหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำ เป็นต้น
“ต้องยอมรับว่านอกจากปัญหาเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแล้ว ขณะนี้อุตสาหกรรมอาหารของไทยทั้งระบบยังคงขาดแคลนแรงงานระดับล่างไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานและยังไม่สามารถแก้ไขได้ จากการศึกษาของ TDRI ในปี 2553 พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนแรงงานต่างด้าวมากเพียงพอกับความต้องการแล้ว แต่การที่อุตสาหกรรมอาหารรวมทั้งอุตสาหกรรมอื่นๆ ยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่เนื่องจากแรงงานเหล่านี้มีพฤติกรรมเข้าออกงานสูง แรงงานจำนวนมากได้เปลี่ยนอาชีพโดยทำงานไม่ตรงตามอาชีพที่ได้รับอนุญาตครั้งแรก และได้กลายสภาพเป็นแรงงานผิดกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการที่จะลดผลกระทบดังกล่าว โดยอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวสามารถย้ายสาขาอาชีพได้ ภายใต้ข้อกำหนดกรอบเวลาว่าภายในระยะกี่ปีจึงจะย้ายงานได้ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของแรงงานในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง นอกจากจะช่วยลดผลกระทบจากการเข้าออกงานสูง รวมทั้งการกลายสภาพเป็นแรงงานผิดกฎหมายแล้ว มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้มีข้อมูลในการบริหารจัดการเพื่อนำเข้าหรือกระจายแรงงานไปสู่อุตสาหกรรมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพด้วย”
ตารางที่ 1 โครงสร้างต้นทุนในภาคอุตสาหกรรมอาหาร
หน่วย: ร้อยละ
วัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ ค่าจ้างแรงงาน พลังงาน อื่นๆ รวม
ไก่แช่แข็ง 84 3 2 2 9 100
ไก่แปรรูป 83 6 2 2 7 100
ทูน่ากระป๋อง 67 17 6 Na. 9 100
ผลิตภัณฑ์ทูน่าในถุงเพาซ์ 70 14 7 Na. 9 100
สับปะรดกระป๋อง 45 43 3 6 2 100
ข้าวโพดหวานแช่แข็ง 50 Na. 10 5 35 100
ข้าวโพดหวานกระป๋อง 30 40 10 Na. 20 100
ข้าวโพดอ่อนกระป๋อง 80 Na. 10 5 5 100
นมพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ 80 10 3 4 3 100
นมพร้อมดื่มยูเอชที 60 25 3 3 9 100
แป้งข้าว 83 3 5 2 7 100
เฉลี่ย 64 17 6 5 11 100
ที่มา: Thailand Food Industry Profile, ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหาร
หมายเหตุ: Na. หมายถึง ข้อมูลรวมอยู่กับอื่นๆ
ตารางที่ 2 จำนวนโรงงานอาหารของไทย
เล็ก กลาง ใหญ่ รวม
ราย % ราย % ราย % ราย
โกโก้/ช็อกโกแล็ต 79 85 13 7 1 1 185
ขนมปัง 347 91 22 5 11 2 476
ข้าวและธัญพืช 390 85 53 10 15 3 553
เครื่องปรุงรส 124 91 7 3 6 3 231
น้ำตาล 52 55 15 10 28 18 160
น้ำมันพืช 222 79 48 13 11 3 373
เนื้อสัตว์ 319 89 24 5 17 4 454
แป้งมันสำปะหลัง 131 73 37 15 11 4 267
ผลิตภัณฑ์นม 228 92 9 3 12 3 343
ผักผลไม้ 490 86 63 10 17 3 666
สัตว์น้ำ 518 81 86 12 34 5 731
เส้นหมี่/อาหารจากแป้ง 118 90 10 5 3 1 226
อาหารอื่นๆ 5,295 95 170 3 94 2 5,657
ผลรวมทั้งหมด 8,313 91 557 6 260 3 9,227
ที่มา : กรมโรงงาน (2553)
หมายเหตุ: ขนาดเล็ก เงินทุนจดทะเบียนน้อยกว่า 50 ล้านบาท, ขนาดกลาง เงินทุนจดทะเบียน 50-200 ล้านบาท,ขนาดใหญ่ เงินทุนจดทะเบียนมากกว่า 200 ล้านบาท