(ต่อ2): วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอภาพยนตร์ เรื่อง MAN ON FIRE

ข่าวทั่วไป Thursday May 20, 2004 12:03 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 พ.ค.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
อาร์นอน มิลแคน (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างอิสระที่เฟื่องฟูและประสบความสำเร็จคนหนึ่งในรอบ 25 ปีที่ผ่านทั้งนี้ยืนยันได้จากภาพยนตร์กว่า 70 เรื่องของเขา เขาเกิดในประเทศ อิสราแอล มิลแคนได้เข้าศึกษาที่ University of Geneva งานทางธุรกิจงานแรกของเขาคือการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเล็ก ๆ ของบิดาให้เป็นธุรกิจทางเกษตรเคมีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศของเขา และความสำเร็จนี้เองนำมาซึ่งชื่อเสียงที่เป็นเหมือนตำนานให้กับมิลแคนในวงการธุรกิจว่าเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถไม่นานมานี้ มิลแคน เริ่มต้นร่างหลายโครงการที่เขามีความสนใจเป็นพิเศษ - ภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที โครงการแรก ๆ รวมไปถึงละครเวทีงานสร้างของ โรมัน โปแลนสกี้ เรื่อง Amadeus เรื่อง Dizengoff 99 เรื่อง La Menace เรื่อง The Medusa Touch และมินิซีรีส์ เรื่อง Masada และในปลายคริสวรรษ 1980 มิลแคนได้สร้างภาพยนตร์ โดย มาร์ติน สกอร์เซส เรื่อง The King of Comedy โดย เซอร์จิโอ ลีออน เรื่อง Once Upon a Time in America และโดย เทอรี่ กิลเลี่ยม เรื่อง Brazil
หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจากเรื่อง Pretty Woman และเรื่อง The War of Roses มิลแคนก็ได้ก่อตั้ง นิวรีเจนซี่ โปรดักชั่น และได้ผลิตภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จออกมาอีกหลายเรื่อง อาทิ JFK เรื่อง Sommersby เรื่อง A Time To Kill เรื่อง Free Willy เรื่อง The Client เรื่อง Tin Cup เรื่อง Under Siege เรื่อง L.A. Confidential เรื่อง The Devil's Advocate เรื่อง The Negotiator เรื่อง City of Angels เรื่อง Entrapment เรื่อง Fight Club เรื่อง Don't Say a Word และเรื่อง Daredevel
โครงการภาพยนตร์ที่กำลังจะตามมาอีกรวมไปถึงเรื่อง First Daughter เป็นเรื่องราว โรแมนติค คอมมิดี้ ซึ่งกำกับโดย ฟอร์เรส วิทเทคเกอร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวคนโตที่เข้าเรียนในวิทยาลัยและตกอยู่ในห้วงรักโรแมนติคกับรุ่นพี่ศิษย์เก่าผู้โก้เก๋ - แต่เจ้าชายในฝันของเธอกลับกลายเป็นผู้มีลับลมคนใน นำแสดงโดย เคธี่ โฮล์มส์ มาร์ค บลูก้า และ ไมเคิล คีตั้น และภาพยนตร์เรื่อง Stay ฆาตกรรมเกี่ยวเนื่องซึ่งกำกับโดย มาร์ค ฟอร์สเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ นักจิตวิทยาคนหนึ่งซึ่งได้รับคำทำนายจากลูกค้าคนหนึ่งซึ่งฆ่าตัวตายไปแล้ว ทำให้นักจิตวิทยาคนนี้ต้องแข่งกับเวลาเพื่อพยายามรักษาทุกสิ่งที่เขารักเอาไว้ก่อนที่มันจะหายไป นำแสดงโดย อีวาน แม๊คเกรเกอร์ นาโอมี่ วัตต์ส และ ไรอัน กอสลิ่ง และที่ภาพยนตร์กำลังจะตามมาอีกก็คือ เรื่อง The Untitled Onion Movie ซึ่งเป็นซีรีส์จากเค้าโครงที่ได้มาจากการ์ตูนที่ไม่ได้เซ็นเซอร์ ของ The Onion (เป็นหนังสือพิมพ์ใต้ดินในวิทยาลัยที่ต่อมาได้พัฒนาเป็น The American Finest News Source) และชี้ให้เห็นพวกปากว่าตาขยิบในโลกปัจจุบัน กำกับการแสดงโดย ไมค์ แม๊คไกว์ และ ทอม คันท์ส เรื่อง Mr. and Mrs. Smith ภาพยนตร์แนวแอคชั่น ฆาตกรรมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคู่แต่งงานที่น่าเบื่อคู่หนึ่ง ซึ่งต่อมาค้นพบว่า พวกเขาเป็นนักฆ่าที่คู่อริจ้างมาให้ฆ่ากันและกัน แสดงโดย แบรด พิตท์ และ แองเจลิน่า โจลี่ กำกับการแสดงโดย ดัค ลิแมน ภาพยนตร์เรื่อง Bee Season เป็นดราม่าเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงอายุ 11 ปี ที่มีพรสวรรค์พิเศษจากครอบครัวที่มีปัญหาเธอได้แสดงให้เห็นถึงความน่าทึ่งในความสามารถในการสะกดคำ และเมื่อเธอชนะเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนของท้องถิ่นและได้รับเลือกให้แข่งขันระดับชาตินั้น ทำให้เธอกลายเป็นจุดสนใจและได้รับการยอมรับจากพ่อซึ่งเป็นปัญญาชน นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ และ จูเลียต บิโนเช่ และกำกับการแสดงโดย เดฟ ซีเกล และ สก๊อต แม๊คกิฮี ภาพยนตร์เรื่อง Elektra เป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนที่มี่ชื่อเสียง นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และกำกับโดย ร๊อป บาวแมนและในระหว่างนั้นเอง มิลแคน ได้ดึงเอาสองผู้ลงทุนเป็นหุ้นส่วนที่แบ่งปันวิสัยทัศน์เดียวกันกับเขานั้นคือ นักธุรกิจชาว ออสเตรเลียคือ เคอร์รี่ แพ๊คเกอร์ คือบริษัท ไนน์ เน็ทเวิร์ค และบริษัท ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ๊อกซ์ บริษัท ฟ๊อกซ์ ได้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ของ รีเจนซี่ ในทุกสื่อทั่วโลก (ไม่รวม ส่วนที่มีการตกลงไว้กับประเทศเยอรมันนี่) รายการโทรทัศน์ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ของอเมริกา และทั่วโลกรวมไปถึงรายการที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกด้วย มิลแคนยังประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนวงจรธุรกิจบันเทิงในบริษัทของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรของแวดวงโทรทัศน์ผ่านทางบริษัท รีเจนซี่ เทเลวิชั่น (เรื่อง Malcolm in the Middle เรื่อง The Bernie Mac Show และเรื่องกำลังจะออกฉาย คือWonderfalls) รวมทั้ง กีฬาผ่านทางบริษัทร่วมทุนคือ Puma ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์กีฬาและรองเท้ากีฬาที่มีชื่อเสียงของ เยอรมันนี นอกจากนี้บริษัท รีเจนซี่ ยังได้ลิขสิทธ์ทางโทรทัศน์เกี่ยวกับการออกอากาศเทนนิสหญิงตั้งแต่ปี 1999 จนถึงปี 2007 และได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดในทวีปยุโรปรายการ เทนนิส ยู เอส โอเพ่น ทัวร์นาเม้นท์ จากปี 2001 จนถึง ปี 2004
ลูคัส ฟอสเตอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Mr. and Mrs. Smith กำกับการแสดงโดย ดัค ลิแมน และแสดงนำโดย แบรด พิทท์ และ แองเจลลิน่า โจลี่ ให้กับบริษัท รีเจนซี่ เอ็นเตอร์ไพร์ซ เรื่อง Walking Tall แสดงโดย ดไวน์ เดอร์ร๊อค จอห์นสัน ให้กับบริษัท เอ็ม จี เอ็ม/ยู เอ และเรื่อง Ultraviolet แสดงโดย มิล่า โจโววิช ให้กับผู้กำกับ เคริท วิมเมอร์ ให้กับบริษัท สกรีน เจมส์ เขายังได้เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Imagining Argentina แสดงโดย แอนโตนิโย แบนเดอรัสอีกด้วย
ในฐานะผู้ช่วยประธานบริหารให้กับงานสร้างภาพยนตร์ของ ซิมสัน/บรัคไฮเมอร์
ฟอสเตอร์ยังได้เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Bad Boys แสดงนำโดย วิลล์ สมิธ และ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ เรื่อง Dangerous Minds แสดงโดย มิเชล ไฟเฟอร์ และเรื่อง Crimson Tide ซึ่งกำกับการแสดงโดย โทนี่ สก๊อต และแสดงนำโดย เดนเซล วอชิงตัน และ ยีน แฮ๊คแมน ฟอสเตอร์ได้เริ่มงานในวงการบันเทิงให้กับหนังทุนน้อย บริษัทเล็ก ๆ อาทิ คองคอร์ท (โดยโรเจอร์ คอร์แมน) และบริษัท เอ็มไพร์ (โดยชาร์ลี แบนด์) ฟอสเตอร์ทำงานสร้างจนกระทั่งได้เป็นผู้ช่วยผู้บริหารให้กับ แฟรงค์ ยาบรานส์ เมื่อตอนที่เขาเป็น ผู้ช่วยประธานของบริษัท เอ็ม จี เอ็ม/ยูเอ ฟอสเตอร์ได้รับงานตำแหน่งเดียวกันให้กับ อลัน แลดด์ จูเนียร์ เมื่อเขาเป็นประธานให้กับบริษัท เอ็มจีเอ็ม/ยูเอ ในปี 1985 ฟอสเตอร์ เข้าทำงานในวงการบันเทิงเต็มตัวในด้านการสร้างบุกเบิกและการพัฒนา โดยร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างหลายท่าน ซึ่งรวมไปถึง แฟรงค์ ยาบรานส์ สก๊อต รูดิน และ ดอน ซิมพ์สัน รวมถึง เจอร์รี่ บรัคไฮมเมอร์ เมื่อร่วมงานกับยาบรานส์นั้นฟอสเตอร์ได้ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสร้างบุกเบิกและพัฒนาภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่อง Lisa แสดงโดย ดี ดับบลิว มอฟแฟท ฟอสเตอร์ยังได้ ทำภาพยนตร์เรื่อง Flatliners ให้กับบริษัท โคลัมเบีย พิคเจอร์สในระหว่างที่ทำงานให้ยาบรานส์ ร่วมงานกับสก๊อต รูดิน ฟอสเตอร์ได้ร่วมสร้างและบุกเบิกภาพยนตร์ของ จอห์น กริสแฮม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตีพิมพ์ เรื่อง The Firm ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จและขายดีที่สุดนำแสดงโดย ทอม ครุยส์ กำกับการแสดงโดย ซิดนีย์ พอลแลค ท่ามกลางโครงการภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่เขาและพัฒนาให้กับสก๊อต คือเรื่อง Executive Decision และเรื่อง Rules of Engagement
ภายในระยะเวลา 7 เดือนหลังจากได้มาทำงานที่ ซิมสัน/บรั๊คไฮเมอร์ โปรดักชั่น
ฟอสเตอร์ได้ช่วยในการพัฒนาภาพยนตร์เรื่อง The Ref ที่นำแสดงโดย เดนิส เลียรี่ และเควิน สเปซี่ นอกจากนั้นเขายังได้ริเริ่มพัฒนาและยังเป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Minds แสดงโดยมิเชล ไฟเฟอร์ เรื่อง Crimson Tide ซึ่งแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน และยีน แฮ๊คแมน กำกับการแสดงโดย โทนี่ สก๊อต และเรื่อง Bad Boys ซึ่งแจ้งเกิดให้กับอาชีพทางการแสดงของ วิลล์ สมิธ มาร์ติน ลอเรนซ์ และผู้กำกับ ไมเคิล เบย์ นอกจากนั้นฟอสเตอร์ยังได้ร่วมในการบุกเบิกและพัฒนาภาพยนตร์เรื่อง The Rock และเรื่อง Enemy of the State ซึ่งแสดงนำโดย วิลล์ สมิธ และ ยีน แฮ๊คแมน และกำกับการแสดงโดย โทนี่ สก๊อต ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้มาจากต้นเรื่องของฟอสเตอร์กับเดวิด มาร์โคนี่
หลังจากออกจากบริษัท ซิมพ์สัน/บรั๊คไฮม์เมอร์ ฟอสเตอร์ได้ร่วมงานกับเทอร์เนอร์ พิคเจอร์สในตำแหน่ง ผู้ช่วยประธานบริหารงานสร้าง และที่นั่นเองที่เขาได้ร่วมสร้างและดูแลการทำงานภาพยนตร์เรื่อง Michael ซึ่งแสดงโดย จอห์น ทราโวต้า วิลเลียม เฮิร์ท และ แอนดี้ แม๊คโดเวล และเรื่อง Fallen ซึ่งแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน
ในปี 1996 ฟอสเตอร์ก็ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทของตัวเอง คือ วาร์ป ฟิลม์ โดยได้สัญญาการผลิตให้กับบริษัท โคลัมเบีย พิคเจอร์ส แต่ผู้เดียว เขาได้บุกเบิกพัฒนาโครงการภาพยนตร์หลายเรื่องที่บริษัท โคลัมเบีย ให้กับผู้เปี่ยมความสามารถอย่าง รอน บาส จอห์น แม๊คทีเออร์นัน แบร์รี่ ซอนเนนฟิลด์ มาร์ติน ลอเรนซ์ และ ไบรอัน เฮนสัน ฟอสเตอร์ได้ร่วมงานในขั้นตอนเตรียมงานสร้างของ แมนดาเลย์ ฟิดเจอร์อย่างเต็มตัว ในภาพยนตร์เรื่อง Wild Things ก่อนที่จะบริหารให้กับ บริษัท โคลัมเบีย/ไทรสตาร์ จะเลือกเขาให้รับตำแหน่งที่ปรึกษาและอำนวยการสร้าง ให้กับบริษัท แอมบลิน/ไทรสตาร์ ในภาพยนตร์ผจญภัยเรื่อง The Mask of Zorro ซึ่งนำแสดงโดย แอนโตนิโย แบนเดอร์รัส แอนโทนี่ ฮ้อปกิ้น และ แคทเธอรีน ซิต้า โจนส์
ไบรอัน เฮลเกแลนด์ (ผู้เขียนบทภาพยนตร์) ชนะเลิศรางวัลอคาเดมีในฐานะร่วมเขียนบทภาพยนตร์กับผู้กำกับการแสดง เคอร์ติส แฮนเซ่น เรื่อง L.A. Confidential และได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลตุ๊กตาทองสำหรับผลงานเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Mystic River ซึ่งกำกับการแสดงโดย คลิน อีสท์วู๊ด และมีเค้าโครงจากนวนิยายของ เดนนิส ลาเฮน
เฮลเกแลนด์ เขียนและกำกับภาพยนตร์เรื่อง The Order ซึ่งจัดจำหน่ายโดยบริษัท ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ๊อกซ์ ซึ่งทำให้เขาได้กลับมาร่วมงานกับนักแสดงอีกหลายคน อย่าง เฮลท์ เลดเจอร์ ชานนิน ซอสซาน่อน และ มาร์ค แอนดี้ ผู้ซึ่งแสดงในภาพยนตร์เรื่อง A Knight's Tale ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเขียน กำกับการแสดงและอำนวยการสร้าง เขายังได้เขียนและกำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง Pay Back ซึ่งนำแสดงโดย เมล กิ๊บสัน
ภาพยนตร์ที่เป็นผลงานของ เฮลเกแลนด์ยังรวมไปถึงผลงานการเขียนบทภาพยนตร์ให้กับเรื่อง Conspiracy Theory ซึ่งกำกับการแสดงโดย ริชาร์ด ดอนเนอร์ เขายังได้เขียนบทภาพยนตร์ให้กับคลิน อีสวู๊ด ในปี 2002 เรื่อง Blood Work อีกด้วย
แลนซ์ ฮูล (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) มีประสบการณ์มาจากผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับการแสดง ผู้เขียนบท และผู้บริหารภาพยนตร์ ในปี 2001 ฮูล ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Crocodile Dundee in Los Angeles ซึ่งนำแสดงโดย พอล โฮแกน ในปี 1999 เขาได้กำกับการแสดงและอำนวยการสร้าง เรื่อง One Man's Hero ซึ่งแสดงโดย ทอม บาเรนเจอร์
ฮูลเกิดในเม็กซิโก ซิตี้ จากครอบครัวซึ่งมีบิดาเป็นนักการเมืองและมารดาเป็นนักออกแบบท่าเต้นที่มีชื่อเสียงชาวเม็กซิกัน ฮูลได้เริ่มการเรียนศิลปะของการทำภาพยนตร์ โดยเริ่มจากการเป็นผู้กำกับการแสดงในภาพยนตร์ของ ราฟ เนลสัน เรื่อง Soldier Blue นำแสดงโดย แคนไดซ์ เบอร์เก้น และในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงให้กับผู้กำกับฮาวเวิร์ด ฮ๊อคส์ จากเรื่อง Rio Lobo แสดงโดย จอห์น เวห์น เขาได้รับปริญญาโทในปี 1971 และได้เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว เป็นที่รู้กันดีว่าฮูล จัดว่าเป็นผู้อำนวยการสร้างที่มีงานล้นมือที่สุดของ เม็กซิโก โดยทำงานสร้างสรรค์ภาพยนตร์มากกว่า 30 เรื่อง และเป็นผู้นำในการทำให้วงการสร้างภาพยนตร์ของเม็กซิโกดเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เขาย้ายมาอยู่ที่ ลอส แอนเจลิส ในปี 1977 และเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์แนวหน้า เขาได้สร้างภาพยนตร์อาทิ Survival Run เรื่อง Caboblanco ซึ่งแสดงนำโดย ชาร์ลส บรอนสัน และ เจสัน โรบาร์ดส์ เรื่อง Ten to Midnight และเรื่อง The Evil That Men Do ซึ่งทั้งสองเรื่องนำแสดงโดย ชาร์ลส บรอนสัน และเรื่อง The Honor Guard แสดงโดย ร๊อท สไตน์เกอร์ เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อิสระที่ได้รับความนิยมจากการแสดงนำของ ชัค นอริส เรื่อง Missing in Action ซึ่งเขาเขียนขึ้นและอำนวยการสร้างเอง และเรื่อง Missing in Action II ซึ่งเขากำกับการแสดงเอง
ในปี 1987 ฮูลได้ตั้งบริษัทชื่อ ซิลเวอร์ ไลอ้อน กับน้องชายของเขา และต่อมาอีกไม่นานนักก็ได้ให้ทุนและอำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง คือ เรื่อง Steel Dawn แสดงโดย แพทริค สเวย์ซี่ เรื่อง Dead or Alive แสดงโดย คริส คริสทอฟเฟอร์สัน เรื่อง Gunman แสดงโดย คริสโตเฟอร์ แลมเบิร์ต และ มาริโอ แวน พีเบิลส์ เรื่อง Road Flower แสดงโดย คริสโตเฟอร์ แลมเบิร์ต เรื่อง Flashfire แสดงโดย บิลลี่ เซน เรื่อง The Air Up There แสดงโดย เควิน เบคอน เรื่อง Pure Luck แสดงโดย มาร์ติน ชอร์ท และ แดนนี่ โกรเวอร์ และเรื่อง Flipper แสดงโดย พอล โฮแกน และ อีไลจา วู๊ด
เจมส์ ดับบลิว สก็อตช์โดโพล (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Spy Game เรื่อง Enemy of the State เรื่อง The Fan ซึ่งทั้งหมดกำกับการแสดงโดยโทนี่ สก๊อต เขาเริ่มงานกับเพื่อนของเขาคือ สก๊อตในปี 1988 จากภาพยนตร์เรื่อง The Revenge และยังทำงานต่อเนื่องให้กับภาพยนตร์ของสก๊อตอีกคือหลายคือเรื่อง Days of Thunder เรื่อง The Last Boy Scout เรื่อง True Romance (ร่วมอำนวยการสร้าง) เรื่อง Crimson Tide (ผู้ช่วยอำนวยการสร้าง)
สก็อตช์โดโพล ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์อิสระคือบริษัท แมน แอนด์ สแตนด์ เขายังได้เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Mixed Nuts และผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Sleepless in Seattle ซึ่งทั้งสองเรื่องกำกับการแสดงโดย นอร่า อีฟรอน และเขายังได้เป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างให้กับลีโอนาร์ด ชเรเดอร์ เรื่อง Naked Tango
เขาเป็นชาวนิวยอร์ค โดยกำเนิด สก็อตช์โดโพลมีผลงานภาพยนตร์มากกว่า 35 เรื่องในระยะเวลากว่า 20 ปี ในวงการบันเทิง
พอล คาเมรอน (ผู้กำกับภาพ) เขาได้ถ่ายภาพให้กับภาพยนตร์ เรื่อง Swordfish นำแสดงโดยจอห์น ทราโวต้าและ เฮลลี่ เบอร์รี่ และเรื่อง Gone in Sixty Seconds ซึ่งแสดงโดย นิโคลลัส เคจ และ แอนเจลิน่า โจลี่ ซึ่งทำสองเรื่องนี้กำกับการแสดงโดย โดมินิค เซนน่า ผลงานภาพยนตร์ของเขายังรวมถึง เรื่อง Advice From A Catterpillar และเรื่อง The Last Supper
คาเมรอน ได้ถ่ายทำมิวสิควิดีโอและภาพยนตร์สั้นหลายเรื่อง เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติคือรางวัล CLIO Award สำหรับภาพยนตร์ Best Commercial ในด้านการถ่ายภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Best The Devil และหนังโฆษณาเก้านาทีให้กับ บี เอ็ม ดับบลิว มอเตอร์ส ซึ่งกำกับโดย โทนี่ สก๊อต ภาพยนตร์โดย เจมส์ บราวน์และ แกรี่ โอล์ดแมน
เขาเกิดในแคนาดา คาเมรอนศึกษาจากมหาวิทยาลัย State University ของนิวยอร์ค ในสาขาการจัดซื้อและเริ่มอาชีพทางการบันเทิงโดยการดูแลด้านไฟให้กับคอนเสริตส์และวงดนตรี ร๊อค
เบนจามิน เฟอร์นันเดส (ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์) ทำงานเป็นผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ให้กับผู้กำกับการแสดง โทนี่ สก๊อต เรื่อง Enemy of the State เรื่อง Revenge เรื่อง True Romance
เขาได้เป็นผู้ออกแบบศิลป์ ให้กับผู้กำกับการแสดง ร๊อบ โคเฮน เรื่อง Dragonheart เรื่อง Day Light และเป็นหัวหน้างานผู้อำนวยการสร้างฝ่ายศิลป์ให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมเรื่อง Gladiator ซึ่งกำกับการแสดงโดย ริดรีย์ สก๊อต เฟอร์นันเดส ได้เป็นผู้ออกแบบศิลป์ให้กับผู้กำกับการแสดง เทอรี่ กิลเลี่ยม เรื่อง Lost in La Mancha ในฐานะผู้อำนวยการสร้างฝ่ายศิลป์ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมไปถึง Days of Thunder เรื่อง Indiana Jones and the Lost Crusade เรื่อง Taipan เรื่อง Dune และเรื่อง Conan the Barbarian เขาได้เริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงในประเทศสเปนซึ่งเป็นบ้านเกิดโดยเริ่มจาก พนักงานเขียนสตอรี่บอร์ดให้กับภาพยนตร์คลาสสิคเรื่อง El Cid เรื่อง King of Kings และเรื่องLawrence of Arabia
คริส ซีเกอร์ส (ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์) เขาได้เริ่มงานกับเพื่อนของเขาคือ โทนี่ สก๊อต โดยเป็นผู้ดูแลงานอำนวยการฝ่ายศิลป์ ให้กับส่วนของบริษัท โมรอคแคนในเรื่อง Spy Game ซึ่งสก๊อต เป็นผู้กำกับการแสดง ซีเกอร์สเป็นผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ให้กับภาพยนตร์สายลับเรื่อง Johny English และเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Captain Corelli's Mandolin และเรื่อง The End of the Affair
ผลงานภาพยนตร์ของเขาในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คือเรื่อง Saving Private Ryan ซึ่งเขาได้มีส่วนร่วมในทีมงานออกแบบที่ ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลอันทรงเกียรติของผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ คือ รางวัล Guild Award สำหรับงานออกแบบงานศิลป์ที่เป็นเลิศที่สุด ภาพยนตร์เรื่อง The Good Thief เรื่อง The Crying Game และเรื่อง A Kiss Before Dying
คริสเตียน แว๊กเนอร์ (ลำดับภาพและตัดต่อภาพยนตร์) เขาเป็นผู้ตัดต่อลำดับภาพให้กับ โทนี่ สก๊อต เรื่อง Spy Game เรื่อง The Fan เรื่อง True Romance และเป็นผู้ช่วยผู้ลำดับภาพในภาพยนตร์ของ สก๊อตจากเรื่อง The Last Boy Scout เรื่อง Day of Thunder และเรื่อง Revenge
ผลงานของเขาอาทิ Lara Croft Tom Raider: The Cradle of Life หนังผจญภัยของเจมส์ บอนด์ เรื่อง Die Another Day และภาพยนตร์ของ จอห์น วู เรื่อง Mission Impossible II เรื่อง Face Off เรื่อง The Negotiator และเรื่อง Fair Game แว๊กเนอร์ได้ควบคุมงานลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง Bad Boys ให้กับผู้กำกับ ไมเคิล เบย์
หลุยส์ ฟรอคลี่ย์ (ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เธอได้ทำงานกับ โทนี่ สก๊อตจากภาพยนตร์เรื่อง Spy Game เธอยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับการแสดง สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ถึงสองเรื่อง จากเรื่อง Traffic และเรื่อง The Limey
เธอได้เริ่มอาชีพในวงการที่กรุงลอนและปารีส ในฐานะผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและผู้ออกแบบฉากให้กับโฆษณางานหลายบริษัทซึ่งรวมไปถึง RSA ซึ่งมีหัวหอกเป็นพวกทำงานภาพยนตร์สมัยใหม่ ซึ่งรวมไปถึง ริดรี่ย์ สก๊อต โทนี่ สก๊อต เอเดรี่ยน ลินน์ และ ฮิวจ์ ฮัดสัน - และผู้กำกับเหล่านี้ ได้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงให้กับวงการทุกคน
งานภาพยนตร์งานแรกที่ ฟรอคลี่ย์ได้รับมอบหมายนั้นเป็นงานผู้ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี ของ ฮิวจ์ ฮัดสัน เรื่อง Chariots of Fire เธอยังได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์อีกมากกว่า 20 เรื่อง อาทิ ภาพยนตร์ของ นีล จอร์แดน เรื่อง Mona Lisa ภาพยนตร์ของ รอน เชลตั้นเรื่อง Bull Durhan และของ บิลล์ ฟอร์ไซท์ เรื่อง Breaking In และยังมีเรื่อง Three Men and a Little Lady เรื่อง Warlock เรื่อง Wilder Napalm เรื่อง The Cure เรื่อง Executive Decision เรื่อง US Marshalls และเรื่อง Stigmata
ผลงานโทรทัศน์ของเธอรวมไปถึง มินิซีรีส์ เรื่อง Noble House และของ HBO เรื่อง The Cold Room ซึ่งกำกับการแสดงโดย เจมส์ เดียร์เดน
คอนราด ฮูล (ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง) ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง ฟ๊อกซ์ เสริช์ไลท์ พิคเจอร์ส เรื่อง Broken Lizard's Club Dread และของบริษัท พาราเม้าท์ เรื่อง Crocodile Dundee in Los Angeles แสดงโดย พอล โฮแกน และเรื่อง McHale's Navy แสดงโดย ทอม อาร์โนล์ด และ เรื่อง Flipper แสดงโดย พอล โฮแกน และ อิไลจาห์ วู๊ด
เขาเกิดและโตในเม็กซิโกซิตี้ ฮูลได้ใช้ประสบการณ์และความชำนาญหลายปีของทุกขั้นตอนในการสร้างภาพยนตร์ ในปี 1987 ฮูลได้ก่อตั้งบริษัท ชื่อ ซิลเวอร์ ไลอ้อน ฟิลม์ส โดยร่วมกับพี่ชายของเขาคือ แลนซ์ และในเวลาอันสั้นพวกเขาก็ได้ให้ทุนและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์มากกว่า 10 เรื่อง
ฮูลได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง One Man's Hero แสดงโดย ทอม เบอร์เรนเจอร์ และเรื่อง Steel Dawn แสดงโดย แพทริค สเวย์ซี่ และร่วมอำนวยการสร้างเรื่อง The Air Up There แสดงนำโดย เควิน เบคอน เขายังได้ช่วยอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Pure Luck แสดงโดย มาร์ติน ชอร์ท และ แดนนี่ โกลว์เวอร์ เป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Gunman แสดงโดย มาริโอ แวน พีเบิ้ลส์ และเป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Caboblanco แสดงโดย ชาร์ลส บรอนสัน และ เจสัน โรบาร์ดส
แฮร์รี่ เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ (ดนตรีประกอบภาพยนตร์) เริ่มต้นงานในวงการภาพยนตร์จากการเป็นนักออเคสตร้า นักเรียบเรียงเสียงประสาน และผู้ประพันธ์ ให้กับผู้แต่งเพลงหลายท่านในภาพยนตร์ของ สแตนลี่ย์ ไมเยอร์ส และเขาได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วถึงเทคนิคการใส่โน้ตเพลงให้กับภาพยนตร์และได้สร้างสัมพันธภาพอันดีกับผู้แต่งเพลงชื่อดังมากมาย ซึ่งรวมไปถึง ฮันส์ ซิมเมอร์
โดยผ่านทางการเป็นเพื่อนกับไมเยอร์ส ทำให้ เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ได้เป็นเพื่อนกับผู้สร้างภาพยนตร์ที่เป็นเหมือนตำนานของวงการคือ นิโคลัส โรเอค และได้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ให้กับ โรเอคในเรื่อง Fully Body Massage และเรื่อง Hotel Paradise
ในปี 1995 เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ ได้ย้ายไปอยู่ใน ลอสเองเจิ้ลลีส และได้เริ่มอาชีพของการเป็นนักประพันธ์เพลงให้กับวงการฮอลลิวู้ดอย่างรวดเร็ว โดยแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ให้กับ บิลลี่ ออกัส ในเรื่อง Smilla's Sense of Snow ต่อมาเกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ ได้ทำเพลงให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Whole Wide World และในปี 1996 เขาได้ประพันธ์เพลงให้ภาพยนตร์เรื่อง The Rock ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี่ บรั๊คไฮม์เมอร์ แน่นแฟ้นขึ้นจนกระทั่งทุกวันนี้ และในปีต่อมา เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ก็มีงานล้นมือกับโครงการภาพยนตร์ถึง 8 เรื่อง รวมไปถึงเรื่อง Deceiver เรื่อง Replacement Killers และเรื่อง The Borrowers
เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ได้เริ่มเข้าทีมกับมือกีต้าร์ตำนานเพลงร๊อค เทรเวอร์ เรบิน สำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Armageddon และภาพยนตร์ของ โทนี่ สก๊อตเรื่อง Enemy of The State ซึ่งทั้งสองเรื่องอำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรั๊คไฮม์เมอร์ และตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่อง Antz ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับการ์ตูนสัตว์ที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ งานเกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ได้ดำเนินไปอย่างหลากหลายโดยนอกจากเขาจะทำเพลงประกอบภาพยนตร์ให้กับบริษัทใหญ่แล้วเขายังทำเพลงประกอบให้บริษัทภาพยนตร์อิสระเล็ก ๆ อีกด้วย ในปี 1999 หลังจากเสร็จสิ้นงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง King of The Jungle เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ ยังได้แต่งเพลงให้กับงานทางโทรทัศน์ของเจอร์รี่ บรั๊คไฮม์เมอร์ เรื่อง Swing Vote และยังได้แต่งเพลงให้กับภาพยนตร์แนวลูกทุ่งดราม่าให้กับบริษัท ฟ๊อกซ์เรื่อง Light It Up
ในปี 2000 เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ แต่งเพลงให้กับภาพยนตร์เกี่ยวกับครอบครัว สองเรื่องที่ประสบความสำเร็จในรอบปี คือเรื่อง The Tigger Movie และเรื่อง Chicken Run เขายังได้แต่งเพลงให้กับภาพยนตร์อังกฤษอิสระเรื่อง Whatever Happened to Harold Smith?เกร็กสัน วิลเลี่ยมส์ แต่งเพลงให้กับภาพยนตร์การ์ตูนของบล๊อคบัสเตอร์ที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง เรื่อง Shrek ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อรางวัล BAFTA และได้รับรางวัล Ivor Novello Award สำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี 2001 เขาได้แต่งเพลง ให้กับ โทนี่ สก๊อต ในภาพยนตร์เรื่อง Spy Game นำแสดงโดย
โรเบิร์ต เรดฟอร์ด และ แบร์ด พิทท์ และเขาได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Golden Satellite Award สำหรับงานประพันธ์ของเขา เขายังได้เสร็จสิ้นอัลบั้มที่เขาได้ร่วมแต่งกับนักกีต้าร์ คือ ปีเตอร์ ดีสเทฟาโน (Porno for Pyros) โครงการล่าสุดของเขายังรวมถึง เรื่อง Veronica Guerin และเรื่อง Phone Booth ทั้งสองเรื่องกำกับการแสดงโดย โจเอล ชูแมคเกอร์ และภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Sinbad เรื่องWelcome to the Jungle เรื่อง Bridget Jones 2: The Edge of Reason เรื่อง Shrek 2--จบ--
-นท-

แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ